Cat Radio โตโต แมวแมว ขอเพลงได้ที่ 02-530-9611

บทสัมภาษณ์จากเค้าแมว ฉบับ 15

บทสัมภาษณ์จากเค้าแมว ฉบับ 15 

แมวค้นออม อิ้งค์ เอิ๊ต อิมเมจ 

Mid Summer Day Dream


Photographer: Nupat Arjkla
Art Director: Worawoot Tuangwootikul
Interviewer: Passawan Srilan
Supporters: Cultmaew Cat Radio, Wayfer Records, Boxx Music, Muzik Move, Smallroom


ในช่วงกลางของหน้าร้อน ที่ไอแดดแรงไม่แพ้กระแสไอดอล เราได้คุยกับสี่สาว ที่มีเรื่องราวเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง บนหนทางดนตรีที่เราเชื่อว่าแต่ละคนชัดเจนว่ากำลังเดินทางอย่างไร ด้วยหัวใจ พาหนะ จนภาระแบบใด ทั้งนี้ นี่อาจเป็นเพียงบันทึกบทหนึ่งแต่ก็อาจจุดประกายในความฝันหรือความจริงของใครสักคนในบทต่อไป


“อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่เป็นอะไรที่เราไม่คาดคิดที่สุดแล้ว ในชีวิต” ออม สรรัตน์

Idol of Idol
          สรรัตน์ ลิมปะนพรัตน์ หรือ "ออม" Telex Telexs (เทเลกซ์ เทเลกซ์) เป็น นักร้องนำหญิงที่โดดเด่นในวงดนตรีซินธ์ป๊อปไทยอนาคตไกล เราเคยคุยกับเธอพร้อมกับเพื่อนร่วมวงแล้ว เคยเห็นการแสดงสดในเวทีต่างๆ ก็หลายครั้ง และยังได้ยินเสียงเล่าลือว่าออมเป็นเจ๊ที่ทั้งเท่และมีความเป็นผู้นำสูงมาก รวมถึงเป็นครูสอนร้องเพลงวงไอดอลที่กำลังมาแรงมาก
          เราเลยนัดเธอคุยเพิ่มเติมในวันสบายๆ แม้ร้อนไปสักหน่อย พบว่าเธอตอบรับเป็นคนแรก และสอบถามเรื่องเสื้อผ้าต่างๆ เพื่อจะได้เตรียมตัว ทั้งที่ไม่ชอบไปเที่ยวทะเล (เราบอกทั้งสี่สาวว่าเตรียมชุดสไตล์ตัวเอง1 ชุดสบายๆ แบบใส่ไปทะเล) และเป็นคนแรกที่มาถึง


ออมชอบดูคอนเสิร์ต

หน้าร้อนออมไม่ชอบเที่ยวทะเล แล้วชอบทำอะไรคะ
          ถ้าพักผ่อน หน้าร้อน เราชอบไปดูคอนเสิร์ตค่ะ บางทีทำงานทั้งปี อาจจะอยากได้ passion บางอย่างเพิ่มเติม อย่างปีที่แล้วไปฟูจิร็อก (Fuji Rock Festival) ที่ญี่ปุ่น เราติดใจมาก ทั้งๆ ที่ปีที่เราไปคือปีที่ลำบากเป็นอันดับ 2 ตั้งแต่เขาจัดมาสิบกว่าปีน่ะ เป็นรอบพัง ทุกอย่างกระจุยกระจาย เราไม่มีที่นอน แทนที่จะคิดว่าเป็นประสบการณ์ที่แย่ เราเห็นวัฒนธรรมคนที่นู่นชัดเจน แล้วเรารู้สึกชอบด้วยนะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เอื้อให้คนต่างชาติมาก เขาช่วยคนญี่ปุ่นก่อน ซึ่งในจำนวนนั้น มีคนญี่ปุ่นที่ชอบคนไทยมากๆ เขาก็ช่วยเรา แล้วเรารู้สึกว่าเราอยากไปเที่ยวทุกปีจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ ถ้าเราว่าง

พอเราเป็นนักร้อง ทำวงจริงจัง การไปดูคอนเสิร์ตยังเป็นการพักผ่อนอยู่ไหม

          เราเรียนดนตรีมา (ดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร) อันดับแรกเลย เวลาไปดูคอนเสิร์ตแล้วซาวด์แย่ ไม่มีความสุข จะได้ยินอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่ได้ยิน ซึ่งตอนแรกเราเป็นแบบนั้น แล้วพอเราดูไปสักพัก เราเริ่มรู้สึกว่า เราคาดหวังอะไรจากการมาดูคอนเสิร์ต ถ้าเราคาดหวังซาวด์ดีๆ ทำไมไม่ฟังมาสเตอร์น่ะ การมาดูคอนเสิร์ตสำหรับเรา ตอนนี้นะ เรามีความรู้สึกว่า มันคือ vibes (บรรยากาศ) ชอบก็ไป

ออมเป็นเจ๊

นักดนตรีหรือซาวด์เอ็นจิเนียร์หลายคนบอกว่าพี่ออมเป็นเจ๊เป็นผู้นำ พูดจาฉะฉาน รู้สึกว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

         เราเป็นคนโผงผางน่ะ

เป็นคนที่คิดอะไรแล้วพูดเลยไหม

          ก็ไม่ทั้งหมด การทำวง คือ ใครก็ไม่รู้ ต่อให้เป็นเพื่อนก็คนละพ่อคนละแม่มารวมกัน เพราะฉะนั้น เราต้องปรับค่ะ เราเคยโผงผางมากๆ มีความเป็นผู้นำสูงมาก เราลูกคนโต เราพุ่งน่ะ แต่พอชีวิตผ่านไปประมาณหนึ่ง บอกไม่ได้หรอกค่ะว่าอะไรทำให้เราเปลี่ยนไป เราคิดว่าคือประสบการณ์แหละ หลายๆ อย่าง ทั้งดี ทั้งไม่ดี ทำให้เรารู้ว่าอันไหนควรพูด ไม่ควรพูด แต่ถามว่า บางอย่างที่คิดว่าไม่ควรพูด แล้วตัดสินใจพูด ก็มี แต่ว่า เราไม่ได้พูดเพราะว่าเราไม่ได้คิดแล้ว
ตอนเรียนออมเป็นนักเรียนแบบใด นั่งตรงไหนของห้อง

          มัธยมก็ไม่ได้เป็นคนตั้งใจเรียนค่ะ แม่ให้เรียนอิเล็กโทนตั้งแต่ประถม พอเรียนจนหมด ก็เปลี่ยนมาเรียนเปียโน รู้สึกว่าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แล้วก็ร้องเพลง แต่ระหว่างที่ผ่านทุกๆ อย่างมา เราอยู่กับการร้องเพลงมาตลอด เพราะฉะนั้น ตอนเราอยู่ .ปลาย เราเห็นภาพตัวเองชัดมากว่าเราอยากทำอะไร อะไรที่ทำให้เราคิดว่าเราไม่ได้ใช้แน่ๆ เราจะไม่สนใจเลย โรงเรียนเรา (วัฒนาวิทยาลัย) คนน้อยค่ะ เราเปลี่ยนสายเรียนได้ ตอน . 5 ออมเปลี่ยนจากศิลป์ - ฝรั่งเศสเป็น อังกฤษศิลปะ เน้น ภาษาอังกฤษกับวาดรูป แล้วเราเอาเวลามาติวในสิ่งที่เรากรี๊ดจริงๆ เราติวทฤษฎีดนตรีตั้งแต่ประมาณ . 5

จากที่เลือกมาตั้งแต่มัธยม พอสอบติดและได้เข้ามาเรียนดนตรีระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง
          พอเข้ามา เรารู้สึกว่า เราไม่ได้ชอบเพอร์ฟอร์มขนาดนั้น เรากลับไปชอบพวกทฤษฎี เลกเชอร์ หรือบางอย่างค่ะ แต่ก็ไม่ได้ดิ้นรนแบบไม่จบ เราจบ 4 ปีค่ะ คือ ปกติ แต่ก็ถือว่าขยันมากประมาณหนึ่ง บางคนเรียน 5 ปี ครึ่ง หรือออกไประหว่างนี้ก็เยอะ

ก่อน Telex Telexs ออมเคยทำวงดนตรีไหมคะ

          ก็เล่นกลางคืนทั่วไปค่ะ ตั้งแต่ประมาณ ปี 3 ปี 4 ร้องที่เขาใหญ่ เป็นสากลล้วน แต่เราจะทะเลาะทุกคนกับตลอด เมื่อก่อน พอมาเจอปิ้ว (กษิเดช ฤทธิ์งามซินธ์) เจอนาว (คิรากร อิงควราภรณ์กุล) เหมือนก็ต้องใช้ภาวะผู้นำบางอย่างอยู่ แต่พอเป็นวงที่เราต้องทำเพลงด้วยกัน เราจะเป็นตัวเองทั้งหมดก็ไม่ได้ อีกอย่าง เราไม่ใช่ Band Leader ออมเป็นแค่ Lead Singer แบนด์ ลีดเดอร์คือปิ้วค่ะ

          แต่ละคนมีช่วงที่ลีดต่างกันค่ะ ปิ้วลีดช่วงทำเพลง แต่ลีดตอนโชว์คือเรา เราเชื่อว่าวงหนึ่งวง ทุกคนเหนื่อยที่สุด ในเวลาต่างกัน ปิ้วเหนื่อยสุดตอนทำเพลง ตอนที่ต้องมานั่งตามพวกเราทำนู่นทำนี่ เราเหนื่อยสุดเวลาโชว์ นาวก็เหนื่อยสุดเวลาโชว์ด้วย แล้วตอนที่คิดไลน์ กรเหนื่อยเพราะว่ากร (พากร พานอ่อง) ต้องเดินทางไป - กลับ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ 

การใช้ชีวิตในวงดนตรีที่มีทั้งผู้หญิงผู้ชายเป็นอย่างไร

          เรากับเพื่อนในวงพูดกันได้เกือบทุก ทุกคนอยู่กันแบบเพื่อนหมด เพื่อนเราก็ไม่ได้มองเราเป็นผู้หญิงด้วย เราอาจไม่ได้ดูน่าทะนุถนอมในสายตาเขาด้วยซ้ำ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงไม่ได้อยู่ข้างหลังแล้ว ซึ่งเรามีความรู้สึกว่า โอเค ถ้าบางเรื่อง ผู้หญิงสามารถชนได้ง่ายกว่า เราก็ใช้ตรงนั้นให้เป็นประโยชน์กับเราและเพื่อนเราด้วย ซึ่งโอเคนะ อยู่ในวง ทุกคนมองว่าเป็นเพื่อนกัน ไม่มองว่าผู้หญิง ผู้ชายน่ะ บางคนอาจคิดว่าลำบากไหม เป็นผู้หญิงคนเดียวในวง เราว่าไม่เลย

ออมเป็นครู

นอกจากร้องเพลงมาตลอดแล้ว ออมยังเป็นครูสอนร้องเพลงด้วย เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่คะ

          น่าจะประมาณปี 4 ค่ะ เราชอบสอนเด็กเล็ก สอนเปียโนกับสอนร้องเพลง เด็กที่สุดที่เราเคยสอนคือ 2 ขวบครึ่งค่ะ
ชอบสอนเด็กเล็กเพราะอะไรคะ

          เรามีความรู้สึกว่า เขาไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่มีคำถามบางอย่างที่เรารู้สึกว่าถามทำไมน่ะแต่เด็กถามตรง อยากรู้อะไรก็ถาม ทำไม่ได้ก็บอกว่าทำไม่ได้ ไม่ได้มีมารยา ถึงจะพยายามมารยาแล้ว แต่ด้วยความโตกว่า เราเก็ตน่ะ ว่าหนูไม่ได้ซ้อมมาเหรอลูก ไม่เป็นไรๆ หรือบอกว่าซ้อมมา แล้วร้องไม่ได้ ก็รู้อยู่ดี แต่ผู้ใหญ่จะมีจริตบางอย่างที่เขาเรียกกร้านโลกน่ะค่ะ เด็กไม่มีเลย

ครูออมดุไหม

          น่าจะดุ ถ้าเด็กร้องไห้ งอแง เราก็ดุ พ่อแม่เด็กปล่อยให้เด็กอยู่กับเรา แล้วเขาโอเคกับการที่เราจะดุ ถ้าพ่อแม่คนไหนไม่โอเคที่เราจะดุ เราจะขอเปลี่ยนเด็ก เพราะคุณมาคาดหวังกับเราว่า เราจะสอนให้ลูกคุณเก่ง แต่คุณไม่กล้าที่จะให้เราดุลูกคุณด้วยซ้ำ รวมถึงอยู่ที่บ้าน คุณก็ไม่ให้ลูกคุณมีวินัยน่ะ ไม่แปลกที่เราจะต้องเป็นคนที่มีวินัยให้เขา เราชอบเด็กมาก เราเคยเจอเด็กร้องไห้จนอ้วก แม่ไม่มารับ เราต้องไปนั่งเช็ดอ้วกให้น่ะร้องไห้ทำไมลูก ไม่ต้องร้อง เดี๋ยวแม่ก็มารับแล้ว

 

จากครูสอนเด็กเล็กสู่ครูสอนไอดอล

การสอนไอดอลแตกต่างจากสอนเด็กอย่างไรบ้าง

          เด็กเล็กเราสอนทักษะให้เขา เด็กโต อย่าง Fever (ฟีเวอร์) ซึ่งอายุไม่ได้ห่างจากเราเท่าไหร่ บางคนน้องเริ่มต้น จากศูนย์ ร้องไม่ได้ เต้นไม่ได้ แต่เราบอกน้องตลอดว่า ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เราเคยไม่กล้าพูดบนเวที เราคิดว่าเราทำไม่ได้แน่ชาตินี้ ทุกวันนี้เราพูดเป็นต่อยหอยอยู่บนเวที เราเคยคิดว่า เราจะยืนอยู่กับขาไมค์ของเราไปตลอดชีวิต แต่ตอนนี้เรากระโดด เรา ไม่ได้สอนแค่ร้องเพลงให้เขาน่ะ พอโตปุ๊บ ถ้าจับจุดตัวเองได้ เรื่องทักษะ เขาก็จะรู้แล้วว่าร่างกายทำอะไรได้บ้าง แต่สิ่งที่ยากในการสอนเด็กโตแล้วคือทัศนคติค่ะ ออมไม่ได้สอนแค่ทักษะ เขาเลยเรียกเราเป็นแม่กัน เพราะว่าในทีมเป็นผู้ชายหมดเลยค่ะ เราก็เหมือนแม่ ตอนแรกๆ ไม่ได้สนิท แต่ว่าพอหลังๆ เราสอนเป็นคนๆ เลย เรื่องความคิดนะ นั่งรวมกันนี่แหละค่ะ พูดต่อหน้ากัน เราคิดว่าเพื่อนคุณต้องรับรู้ว่าคุณเป็นคนอย่างไร เพราะว่าคุณต้องอยู่ด้วยกัน เป็นวง คุณไม่ได้เป็นไอดอลแบบตัวใครตัวมัน เราพยายามสอนให้เขาเป็น unity มากๆ เรา วันที่เขาแสดงเวทีแรก เราร้องไห้เลย งานเล็กมาก แต่ว่าเราอารมณ์เหมือนส่งลูกไปเรียนน่ะ

ดูแล้วนึกถึงโชว์แรกของตัวเองหรือเปล่า

          ใช่ๆ เราว่าพลังของแฟนคลับมีผลมากๆ บางคนอาจจะตื่นเวที เราว่ายิ่งคนน้อยจะยิ่งตื่น ถ้าเราไปเล่นงานไหนแล้วคนน้อย เราจะรู้สึกว่าเขาไม่อยากดูเราเหรอ จะน้อยเนื้อต่ำใจน่ะ แต่พอคนเยอะ เราฮึดขึ้นมา ซึ่งถ้าเป็นไอดอลเขาไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะเพอร์เฟ็กต์อยู่แล้ว ทุกคนมาดูวิวัฒนาการ น้องบางคนที่เราไม่คาดหวังจากเขา ให้เราได้เกินกว่าที่เราขอเขาน่ะ เราว่าเพราะแฟนๆ มีผลมากๆ น่ะ

 

ออม Telex Telexs

ออมมองเป้าหมายของตัวเองอย่างไร

          วงเราเล่นทวิตเตอร์ แล้วเราเห็น fan base ว่าไม่ใช่แค่ที่ไทยแล้ว เกาหลีก็มี ญี่ปุ่นก็มี ฝรั่งก็มี ซึ่งเรามองว่า เราต้องทำเพลงสากลแล้วแหละ เพราะว่าอยากก้าวไป อาจจะไม่ใช่เปลี่ยนตัวเองไปเป็นสากลเลย ไม่ใช่เป็นอัลบั้ม แต่ขอมีสักหน่อย เพราะว่าจะได้เปลี่ยนบ้าง แค่ขอทดลองน่ะ อย่าว่ากันเลย (หัวเราะ)

ถึงตอนนี้ออมรู้สึกอย่างไรกับอัลบั้ม Enough for Loneliness and Internet Today (2561) บ้าง

          เรารักอัลบั้มนี้มากเลยค่ะ เป็นอัลบั้มแรก ซึ่งเราบอกตรงๆ ว่า สำหรับคนในวง ตอนเริ่มต้น โห ทะเลาะตบตีกัน แบบไม่ทำแล้ว ขอออกได้ไหม แต่พอทุกอย่างผ่านไปน่ะ ทุกคนชมด้วยน่ะ เราก็เลยรู้สึกว่าการที่เราทะเลาะกัน ไม่ได้สูญเปล่า เราไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องส่วนตัว เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่าการทะเลาะในเรื่องส่วนรวม ทำให้เกิดอะไรดีๆ ถ้าเราผ่านความประสาทตอนนั้นมาได้นะ

ต้องผ่านไปก่อน

          ใช่ ต้องผ่านไปก่อน ย้อนเวลากลับไปได้ ก็ทะเลาะไปเหอะ อาจจะได้อะไรกลับมา ซึ่งตอนนี้เหมือนเราเลี่ยนแล้ว เราไม่อยากทะเลาะกันแล้ว พอทำอีพีภาษาอังกฤษที่ตอนนี้กำลังส่งเดโม ก็เลยกลายเป็นว่าเห็นดีเห็นงามกัน หลายๆ อย่าง ทุกคนมีส่วนร่วมมาก

ออมเคยอยู่ในจุดที่ไม่กล้าพูดบนเวทีมาก่อน ไม่กล้าเดินจากที่ขาตั้งไมค์นั้น แล้วปลดล็อกอย่างไร

          เราจำได้มีโชว์หนึ่ง เราปลดล็อกเพราะเราโดนกดดัน เราทำงานกับพี่โน่ (ดนัย ธงสินธุศักดิ์ Executive Producer) ที่กดดันเรามาก ว่าทำไมเราไม่พูด ทำไมพี่ฟังออมแล้วเราไม่ได้รู้สึกว่าออมเป็นเจ้าของเพลงเลย เหมือนออมร้องเพลงคนอื่นไม่ได้ดุแบบกระโชกโฮกฮาก เป็นคำพูด เบาๆ ที่ เราเดินไปร้องไห้กับเพื่อนเลยโดนด่าอีกแล้วงานไหนที่เขามาดูเล่นไม่ดีทุกงานเลย (หัวเราะ)

          เราก็ค่อยๆ ปรับ ตอนแรกเราพูดผิดพูดถูก จนเราคิดสคริปต์ขึ้นมาว่าเพลงนี้เราจะพูดเรื่องอะไร แต่ไม่ได้เขียนนะ คิดอยู่ในหัว ตอนแรกเรา พูดไม่รู้เรื่อง ไม่มีสติ พอผ่านไปเรื่อยๆ ก็ยังยึดสคริปต์เดิม พยายามจนกว่าจะทำได้ แล้วรวมกับคนในวงก็เริ่มเข้ามือกัน เริ่มเชื่อใจกันมากขึ้น เรารู้สึกว่าปลอดภัยที่เราจะพูด ตอนแรก เราเขินตัวเอง รู้สึกว่าการที่เราทำอะไรต่างจากที่เคยทำ เราจะออกมาดูดีไหม จะดูน่าเบื่อเหมือนเวลาเราฟังคนอื่นพูดอะไรเลี่ยนๆ เราก็ตัดออก แล้วก็ไปดูคลิปพี่แพต (รัณนภันต์ ยั่งยืนพูนชัย - นักร้องนำ Klear) เขาพูดอะไร พี่ดา (ธนิดา ธรรมวิมลดา Endorphine) เขาพูดแบบไหน เราพยายามทำการบ้าน เราต้องหา ลองปรับๆ ไปเรื่อยๆ

 

จากใจออมถึงแฟน
แฟนเพลงของเทเลกซ์ เทเลกซ์เป็นอย่างไรบ้าง

          เขาไม่มองว่าเราเป็นผู้หญิงสวย เขามองว่าเท่ซึ่งเรารู้สึกดี ดูไม่เบื่อ ทำให้เรารู้สึกว่าเราค่อนข้าง Unisex ทุกวันนี้คนที่มาต่อแถวถ่ายรูป ผู้หญิงเยอะกว่าผู้ชาย แล้วทุกคนเดินเข้ามากอดเราแบบตัวสั่นน่ะ

          “ยอมแล้วๆ เขินแล้วๆคือผู้หญิงทั้งนั้นเลยที่พูดแบบนั้น ซึ่งหาได้น้อยมากเลยสำหรับผู้หญิงที่จะมีผู้หญิงมาเขิน ซึ่งเราก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง เรารู้สึกดีกับการที่เขามองเราแบบนั้น เราสามารถเป็นไอดอล ให้คนๆ หนึ่งได้ โดยที่เราเป็นเรามากๆ เราไม่ได้ปั้นเลย เวลาเราเจอแฟนคลับ ซึ่งเรารู้สึกว่าเขาซื้อเราที่เป็นเรา 100%

          เราว่าวงเป็นประมาณไหน แฟนจะเป็นประมาณนั้นค่ะ ล่าสุดไปร้องแล้วไมค์โขกปากบนเวที เขาก็ปรบมือกัน (หัวเราะ) ถ้าเกิดว่าเป็นศิลปินคนอื่น ไมค์โขกปาก ทุกคนจะตกใจ อุ๊ย เขาเจ็บไหม ของเราหนูชอบมากเลยค่ะเวลาพี่ซุ่มซ่าม

เรารู้สึกว่าก็คนน่ะ ต้องพลาดบ้าง เราเป็นตลก เราเป็นคน บ้าบอ ซึ่งน้องๆ เขาก็โอเคกับการที่เราเป็นแบบนั้น ทุกคนรักเราที่เราเป็นแบบนั้นจริงๆ

เราว่าเวลาออมอยู่บนเวทีออมดูยิ้มกว่าข้างล่าง

          ใช่ๆ แค่พออยู่บนเวทีแล้วเรารู้สึกดีใจน่ะ เวลาไปเล่น แล้วเราเจอแฟนคลับเดนตายที่ดูเซ็ตลิสต์นี้กี่โชว์แล้ว (หัวเราะ) แต่ก็ยังไปแล้วถ่ายคลิปเต็มเพลง เราก็เลยรู้สึกตื้นตันทุกครั้ง พอมองย้อนกลับไปดูตัวเองตอนที่ยังไม่มีอะไรเลย พอมาจุดนี้ อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นอะไรที่เราไม่คาดคิดที่สุดแล้วในชีวิต

 

ออม ออม ออม

ออมเป็นคนเก็บออมไหม

          แม่บอกว่า ตั้งชื่อว่าออมเพราะอยากให้ออมตังค์ แต่เหมือนตั้งให้ชงน่ะ (หัวเราะ)

หมดตังค์กับอะไรเยอะที่สุด

          เสื้อผ้าค่ะ เครื่องสำอาง ชอบปุ๊บกดปั๊บ แต่ว่าไม่ได้ใส่ของแพง ถ้ามีแบรนด์ก็มีแบรนด์ไปเลย ถ้าไม่มีแบรนด์ ก็เป็นมัลติแบรนด์ จะไม่ใส่ของก๊อปเด็ดขาด ทำใจไม่ได้ ถ้าเกิดว่าเราทำเพลงแล้วมีคนก๊อปเพลงเราไปฟัง ก็คงรู้สึกเหมือนกัน บางอย่างควรลงทุนค่ะ ไม่ได้กัด พูดจริง (หัวเราะ)

มีอะไรอยากบอกอีกไหม

          อยากบอกแฟนๆ ว่าขอบคุณทุกคนจริงๆ เพราะเรารู้สึกว่าคนที่อยู่กับเราตั้งแต่วันแรกสุดของเรา จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังอยู่กับเรา ซึ่งเราขอบคุณจริงๆ เรารักแฟนเพลงมาก เราไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยรู้สึกว่าไม่อยากถ่ายรูปแล้ว เวลาไปเล่นที่ร้านไหน น้องๆ เลิกถ่ายเมื่อไหร่ จบตอนนั้น จนบางทีขึ้นรถตู้ไปแล้ว มาเคาะรถตู้ เราก็ลงไปถ่ายด้วย เราทำใจไม่ได้ ถ้าเขาบอกว่าทำไมพี่ยอมถ่ายกับคนนั้น ทำไมไม่ยอมถ่ายกับเราจะรู้สึกว่าถ้าเจอเขาอีกรอบ จะขอโทษ รักค่ะ รักแฟนเพลง (O,O)

รู้ไปทำแมว
          ไอดอล ช่วงมัธยมที่ทำให้ออมอยากเข้าดุริยางศาสตร์ ศิลปากร ชื่อ พี่กาน่า ที่เรียนร้องเพลงด้วยกัน ร้องเพลงเพราะมาก แต่ปัจจุบันช่วยกิจการขายมอเตอร์ไซค์ของที่บ้าน / ออมบอกว่าดูห้าวตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้เป็นทอม มีตุ๊กตาบาร์บี้และเคยอยากเป็นเซเลอร์มูน/ฝันหนึ่งของออมและวงเป็นจริงแล้ว คือการได้รับคัดเลือกไปเล่นที่ซัมเมอร์โซนิก 2019

 



“เราคอนโทรลได้อย่างเดียวเลย คือ คอนโทรลเราให้ดีที่สุด” เอิ๊ต ภัทรวี

Earth the Explorer
         
เอิ๊ต - ภัทรวี ศรีสันติสุข เริ่มเป็นที่รู้จักผ่านช่องยูทูบ Wishes On Earth ซีรีส์ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น อัลบั้ม (‘Earthtone Melodies’ 2555) และบทเพลงต่างๆ (เช่น ‘Sky & Sea’ 2558 ‘Timehop’ 2559 ‘ถ้าฉันหายไป’ 2561) จากนั้นเราว่าด้วยประสบการณ์และระยะเวลาหลายปี ทำให้เห็นพัฒนาการจากเด็กสาวสดใสที่ดูชอบร้องเพลงมากๆ สู่นักดนตรีหญิงที่ดูแข็งแรงทั้งด้านการทำเพลงและการนำเสนองาน โดยเฉพาะการแสดงสด
          ทั้งนี้ ทุกช่วง ทุกบทบาทที่เห็นเอิ๊ต ภัทรวี มักมีดนตรีมาเกี่ยวข้อง แต่พอได้นั่งคุยกันแล้ว จึงพบว่าในโลกของเธอ มีอีกหลายอย่างที่เอิ๊ตชอบ เรียนรู้และลงมือทำอย่างเต็มที่ ส่วนดนตรีก็คงอยู่ตลอดนั่นแหละ


Earth The Youtuber: from Homework to Wishes On The Earth

พอทราบว่าเค้าแมวชวนมาถ่ายรูปขึ้นปก เอิ๊ตเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

          ฝึกจิกก่อนเลย (ทำหน้าจิกไปเขินไป) ตอนแรกฟังคอนเซปต์แล้ว โอเค เป็นแก๊งสาวๆ ซึ่งเอิ๊ตมีความสาวในตัวน้อยมาก ที่หวาดกลัวคือกรุ๊ปชอตนี่แหละ กลัวว่าเราจะทำได้ไม่เท่าคนอื่นเขา เวลาที่ออกงานด้วยกัน อิ้งค์ (วรันธร) ก็จะบอกให้ฝึกทำหน้านิ่งๆ ไว้นะพี่เอิ้ตไม่ต้องยิ้มให้เห็นครบ 32 ซี่ก็ได้เอิ้ตทำทุกครั้งจะขำทุกครั้ง วันนี้ก็รู้สึกว่าเราพัฒนาใช้ได้ เราทำโดยที่ไม่ขำ แต่ขำบ้างในใจ ปากกระตุกนิดหน่อย (หัวเราะ)

ภาพที่ออกมาก็สวยงามทั้งกลุ่มและเดี่ยวนะ ขอบคุณที่มาสนุกด้วยกัน
แต่ถ้าถ่ายวิดีโอเอิ๊ตจะคุ้นเคยกว่าหรือเปล่าเพราะคัฟเวอร์เพลงลงยูทูบตั้งแต่มัธยม

          โอ้โห ดูตัวเองในยูทูบ (www.youtube.com/wishesontheearth) ตอนเด็กๆ เขินมากนะคะ เราเล่นกล้องไป โดยที่ไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นไง เราอยู่คนเดียวในห้อง ก็ลองผิดลองถูก แล้วมีช่วงที่โพสต์ไปแล้ว คนคอมเมนต์ว่าเวลาร้องทำไมปากใหญ่” “ทำไมร้องคำนี้แล้วดูปากเบินจังครับ” “ปากเบี้ยวนะครับแล้วเราก็เสียความมั่นใจตรงนี้ไปหน่อยๆ แต่ว่าก็พยายามปรับตามคอมเมนต์ที่เรารู้สึกว่าจริงเนอะ ซึ่งเอิ้ตรู้สึกว่าตอนนี้โอเคขึ้นเยอะมาก

เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เอิ๊ตเข้าวงการยูทูบหน่อยค่ะ
          ครั้งแรกประมาณ . 5 ค่ะ ทำการบ้าน แล้วก็ทำรีเสิร์ช เกี่ยวกับยูทูบ ตอนนั้นยูทูบเพิ่งเข้าไทยเลยค่ะ สดๆ ร้อนๆ

โจทย์ของการบ้านนั้นเกี่ยวกับอะไรคะ

          รีเสิร์ชเกี่ยวกับอะไรก็ได้ให้ลึกที่สุด โรงเรียนรุ่งอรุณที่เอิ๊ตเรียนจะเป็นแบบนี้ ให้การบ้านโจทย์กว้างมาก แล้วเราทำอะไรก็ได้
          ตอนนั้น ยุค hi5 น่ะค่ะ เพิ่งมี Youtube เราเลยรีเสิร์ชว่ามีใครที่เขาโด่งดังทางนั้นบ้าง เขาทำอะไรกันอยู่ในนั้น แล้วเอิ๊ตก็เห็นจัสติน บีเบอร์ ยังเป็นเด็กอยู่เลยค่ะ แล้วก็มีหลายคนที่โด่งดังทางยูทูบ ซึ่งเราไม่ได้คิดว่าเราจะไปเป็นอย่างนั้นหรอก แค่เห็นเขาทำแล้วเราอยากทำ ก็เลยเริ่มต้นอัดจากกล้องเว็บแคมที่มาจากคอมฯ ก่อน (หัวเราะ) เล่นใหญ่เลย ด้วยความที่เพื่อนไม่ค่อยอยู่แถวๆ บ้าน เหงาๆ หน่อย ก็จะเล่นอยู่คนเดียว

เริ่มคลิปแรกก็ร้องเพลงเลยเหรอคะ

          ใช่ค่ะ ไม่เคยทำอย่างอื่นเลย เพลงแรกไม่เล่นกีตาร์ด้วยค่ะ ร้องอย่างเดียวเลย น่าจะเพลงของ เคที เพอร์รี ใช้ไมค์คาราโอเกะเล็กๆ ของแม่ ปลั๊กไม่ได้เสียบ แอ๊กติ้งไปเรื่อย พอทำไปเรื่อยๆ ก็เริ่มสนุก ทำแบ็กกิ้งแทร็กเอง ตัดเพลง ใส่ดนตรีเพิ่ม เริ่มหัดกีตาร์ ลองเล่นเอง เหมือนเป็นโรงเรียนเรา
จากการบ้านในวันนั้น ก็เรียนรู้มาด้วยกันถึงทุกวันนี้

          ใช่ค่ะ
ที่มาของชื่อ Wishes On The Earth ที่ใช้ในยูทูบล่ะคะ
          มาจากเพลง Beyoncé (หัวเราะ) ชื่อ ‘Wishing On The Star’ แล้วเราชื่อเอิ๊ตก็เลยตั้งว่า “Wishes On The Earth” คิดเร็วๆ น่ะ แล้วก็เป็นชื่ออีเมลด้วย เราคิดตอนประมาณ . 4 - . 5 ตอนนี้เราก็จะเขินๆ หน่อย แต่ก็ชอบนะ เวลาคนมาทักว่าเป็น Wishes On The Earth

 

Earth The Singer : Violin & Microphone

เอิ๊ตชอบร้องเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ

          เอิ๊ตเล่นไวโอลินก่อน ประมาณ 8 ขวบ จนถึง . ต้น เริ่มจากคุณตาเล่น แล้วเราเห็น ก็เลยไปสมัครเรียน แล้วบ้านที่อยู่เป็นทาวน์เฮาส์เล็กๆ ติดกับบ้านคนอื่นน่ะค่ะ แรกๆ เราเล่นเสียงดังมาก เสียงน่าเกลียดมาก คิดย้อนกลับไป สงสารพ่อแม่มาก
          สิ่งที่พ่อแม่ทำให้เราตอนนั้นคือสร้างคอกให้ คอกไม่ได้เก็บเสียงนะคะ คอกแค่เก็บเราน่ะ (หัวเราะ) คล้ายๆ คอกเด็ก เราก็ฝึกไวโอลินของเราอยู่ในนั้น แล้วไปเรียน 7 – 8 ปีเลย ตอนเด็กๆ ชอบฟังคลาสสิกอย่างเดียว ความฝัน คือ อยากเป็น Violin 1 มากๆ เพราะว่าเท่สุด ตำแหน่งในวงจะอยู่ขวาสุดน่ะค่ะ แล้วเราก็ออดิชั่นไปอยู่ในวงออเคสตรา รู้สึกสนุกกับชีวิตวัยเด็กมากๆ

แล้วได้เป็นนักไวโอลิน 1 ในวงไหม

          ได้บ้าง ในยุคหนึ่ง นั่งแถวหน้า ภูมิใจมาก แล้วสักพักเราเฟดจากเพลงคลาสสิก เป็นยุคที่เริ่มโตเป็นสาว ฟังเพลงทาทา เอิ๊ตอยากเป็น ทาทา ยัง มากในจุดหนึ่งของชีวิต ใส่เสื้อ Sonic กางเกงพองๆ ตัดผมสั้นด้วย ไม่ค่อยรอด (หัวเราะ) ผมหนูหยักศกน่ะ แล้วพอตัดสั้นๆ เหมือนเห็ดใหญ่มาก
จากนักไวโอลินเป็นนักร้องได้อย่างไรคะ
          มียุคหนึ่งความสนใจเราเปลี่ยนไป อยู่ดีๆ อยากร้องเพลง ก็ร้องที่โรงเรียนรุ่งอรุณนี่แหละ เป็นคอรัส วง Choir ตอนไปเข้าครั้งแรกเลย เขาบอกว่าร้องไม่เพี้ยน ดีใจมาก

ก่อนหน้านั้นเอิ๊ตไม่เคยเรียนร้องเพลงเหรอคะ

          ไม่เคยเรียนค่ะ เอิ๊ตเป็นหอบหืด เป็นภูมิแพ้ แล้วคุณครูบอกว่าการร้องเพลงช่วยได้นะครับคุณพ่อเราก็ลองไปเข้าวง แล้วก็ได้ ไปประกวดแบบ สุดที่รักของฉัน ไม่เหมือนคนอื่น (ร้องเพลง)’เปรี้ยวใจหรือเพลงพระราชนิพนธ์ หรือ ‘The Sound of Music’ โรงเรียนเอิ๊ตคนน้อยมากห้องหนึ่งมี 24 – 25 คนเอง ไม่ว่าทำอะไรก็จะได้ทำ พอเริ่มร้องเพลงปุ๊บก็อยากเล่นกีตาร์ มีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งอยู่หลังห้องน่ะค่ะ สอนให้ ตอน . ต้น

 

Earth Patravee: Music Guitar & Me
ตอนนี้เอิ๊ตรู้สึกว่าตัวเองเป็นอย่างไรบ้าง

          ช่วงนี้ค่อนข้างเป็นคนนิ่งขึ้นเยอะมาก ถ้าเทียบกับวัยเด็กทั้งหมดมาประมวล เรารู้สึกว่าเรา comfortable กับ skin ของตัวเองว่า เอิ๊ตเป็นคนประมาณนี้แหละ ชอบดนตรีมากๆ แล้วสิ่งที่เนิร์ดก็นี่แหละ แต่งเพลง อยากแต่งเพลงที่เราชอบออกมา แล้วคนที่ฟังก็จะรู้จักเรามากขึ้น พูดถึงการทำงาน บางทีก็จะมีความกดดันบ้างเล็กน้อยว่า เราไม่สามารถอิสระได้เหมือนสมัยเด็กๆ แล้วที่แต่งเพลงออกมาอย่างไรก็ได้เลย แค่ให้เราชอบ

เพราะคิดถึงคนที่รอฟังอยู่ด้วยหรือเปล่า

          ด้วยค่ะ คืออาชีพเราด้วย เราซีเรียสกับมันมากๆ มีค่าย (Muzik Move) ที่เรารู้สึกว่าเราอยากทำให้เขาภูมิใจ มีเรื่องของยอดวิวที่เรารู้แหละ ว่าไม่ควรเอาตัวเองไปตัดสินด้วยยอดวิว แต่ว่าบางวันก็อดคิดไม่ได้ ทำไมเราถึงทำเพลงแล้วไม่มียอดวิวเท่านี้ๆ ทำไมเราลงรูปว่าเราจะไปเล่น แล้วคนกดไลค์น้อยมากๆ ก็จะมีความคิดที่ไม่ได้ใสเหมือนตอนเด็กๆ

รู้สึกอย่างไรกับซิงเกิลล่าสุดแค่เราก็พอ

          เพลงนี้ เป็นเพลงที่จับมือกับรถพลังงานไฟฟ้า แต่ว่าวิธีการทำงานทั้งหมดก็ทำเหมือนเพลงที่เราใส่ใจไปทุกๆ ขั้นตอนเหมือนเดิม อยากให้คนฟังเพลงนี้ รู้สึกว่าอยากออกไปข้างนอก อยากออกมามอง ออกมาผจญภัย เห็นความสวยงามของสิ่งรอบตัว แล้วก็น่าจะเป็นฟีลลิ่งของการ appreciate คนที่เขาอยู่ข้างเรา เอิ๊ตว่าเพลงนี้เป็นเพลงสดใสที่สุดที่เคยทำมา ทำให้เอิ๊ตสดใสขึ้นนะ

          ดนตรีของเพลงนี้ค่อนข้างแตกต่างจากเพลงอื่นๆ ที่ผ่านมาอย่าง ‘Timehop’ ‘มีไว้’ ‘ถ้าฉันหายไป
         
เพราะแค่เราก็พอจะมีความย้อนยุคกว่าเดิม มีดนตรี ละติน - อเมริกัน เข้ามานิดๆ ด้วยกลิ่นอายการใช้เพอร์คัสชั่น ไลน์กีตาร์

ในเพลง มีท่อนหนึ่งบอกว่าอะไรก็ไม่สำคัญ มีแค่เราก็พอเอิ๊ตคิดว่าทุกวันนี้ มีแค่อะไรก็พอ

          เอิ๊ตนึกถึงอะไรที่เราสบายใจ จะเป็นครอบครัว จะเป็นคนรัก จะเป็นอาชีพ หมายถึงว่าที่เราร้องเพลงได้ทุกวันนี้ก็พอแล้ว บางทีเรารู้สึกว่า เราคอนโทรลอะไรไม่ได้เลยว่าเราทำเพลงไปจะมีคนชอบไหม เราไปเล่นที่นี่ จะมีคนมาดูไหม หรือทุกๆ เดือนที่ผ่านไป มีงานเยอะน้อยแค่ไหน เราคอนโทรลไม่ได้เลยว่าใครจะจ้างเรา แต่เราคอนโทรลได้อย่างเดียวเลย คือ คอนโทรลเราให้ดีที่สุด ทำให้เรายังทำงานเป็นเราอยู่

เป้าหมายในการทำเพลงของ เอิ้ต ภัทรวี

          ทำเพลงที่ดีค่ะ ก็คือทำเพลงที่เรารู้สึกว่าดี แล้วก็เป็นเพลงที่เอิ๊ตอยากเป็นคนที่คลอดมันออกมา เอิ๊ตอยากเป็น Mother of Dragon (หัวเราะ) เป็นผู้ให้กำเนิดเพลงนี้ เพราะว่าสิ่งที่เอิ๊ตชอบตอนนี้คือการได้ทำเพลง ได้แต่งออกมา แล้วเอาเพลงที่เราแต่งไปร้อง เพราะมันรู้สึกมากๆ เลย เอิ๊ตร้องไห้ทุกทีเลยที่ไปเล่น อาจจะที่เล็กๆ แต่มีคนร้องเพลงเอิ๊ตได้ เป็นเพลงที่ยอดวิวไม่ได้เยอะ แล้วเราเป็นคนแต่ง เรามั่นใจในตัวมัน เหมือนเราเปลือยน่ะค่ะ หมายถึงว่า เราเปลือยความรู้สึกของเราให้คนฟัง เรารู้สึกกับสิ่งนี้ รู้สึกกับการเอาตัวเองออกมาให้คนได้เห็น

นานแค่ไหนแล้วที่รู้สึกว่าเราอินมากๆ กับการทำเพลงของตัวเอง

          ก็น่าจะตั้งแต่ ‘Timehop’ หลังจากพักไปปีกว่าเลย เอิ๊ตถือว่าเป็นคนที่ทำงานไม่ต่อเนื่องน่ะกลับมาจากออสเตรเลีย ก็เหมือนเริ่มต้นใหม่ ไม่ถึงกับ 0 อาจจะเป็น 10 แล้วเราก็ค่อนข้างต้องทำอะไรใหม่ ต้องบิวด์อะไรใหม่ๆ เหมือนสร้างความเคลื่อนไหวใหม่ๆ เพราะว่าเราหายไป ปีครึ่ง

สาเหตุที่ตัดสินใจพักงานแล้วไปเรียนแต่งเพลง คืออะไรคะ

          เพราะว่าเอิ๊ตรู้สึกถึงทางตันค่ะ ตอนนั้นอายุ 25 แล้วรู้สึกว่าเราไม่ได้อย่างที่เราต้องการเลย เวลาเราไปเล่น เวลาเราไปทำอะไร เราไม่ได้เอ็นจอยขนาดนั้นเลย ภาพที่เรามองตัวเองตอนอายุ 25 ตอนเด็กๆ กับภาพอายุ 25 ตอนนั้นต่างกันเกินไป ตอนเด็กๆ เรารู้สึกว่า อายุ 25 ต้องเก่งแล้วแหละ ต้องทำนู่นทำนี่เป็น ต้องสร้างเพลงขึ้นมาได้ จาก 0 – 100 แล้วเราก็ต้องเป็นคนที่ชอบตัวเอง มั่นใจในตัวเองแล้ว เพราะว่าเอิ๊ตโตมาแบบเป็นคนเนิร์ดๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้มั่นใจในตัวเอง แต่เอิ๊ตคิดว่า 25 ต้องมั่นใจแล้วแหละ ต้องชอบตัวตนของตัวเองแล้วแหละ ก็เลยรู้สึกไม่สบายใจ ไม่สบายตัว รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง แค่นั้นเลย แล้วเราก็ทุบกระปุก (หัวเราะ) จากที่เราทำงานมาหมดเกลี้ยงเลยค่ะ ไปขอพ่อนิดหน่อย แล้วก็ได้ใช้ชีวิตแบบฟรีดอมค่ะ ไม่สนใจอะไรเลย ไม่สนใจเลยว่าเราลงรูปนี้จะมีคนกดไลค์ไหม เราไม่สนใจเลยว่าเราไปร้องเพลงที่นี่กับเพื่อนๆ ที่เราไม่รู้จักเลย จะมีใครโอเคไหม
          เราแค่อยู่บนโลกใบนี้ แล้วเราก็จะทำอันนี้ พอได้ลองไปแล้วเหมือนเปลี่ยนข้างในน่ะค่ะ เปลี่ยนความรู้สึกว่าไม่ต้องคิดเยอะ เราแค่ต้องเป็นเราที่อยู่ในโลกใบนี้ กลับมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ยังเป็นคนที่ไม่ต้องสนใจ คิดอะไรเกินกว่าที่เราจะคอนโทรลได้

เขาสอนอะไรบ้างในคอร์สแต่งเพลง

          เขาสอนเบื้องต้นของหลายๆ อย่าง ทฤษฎีดนตรี Lyrics Writing แล้วก็มี Melody Writing นิดหน่อย ทฤษฎีที่ชอบสุดก็เป็น Lyrics Writing เอิ๊ตเรียนแค่ปีแรกของเขา แต่เปิดโลกเหมือนกัน คือสิ่งที่เราคิดว่าเราได้ยินจากเพลงนั้นเพลงนี้ จริงๆ แล้ว คือเรื่องของธรรมชาติของคนน่ะ เรากำลังทำอะไรบางอย่างที่เล่นกับความรู้สึกของคนอยู่นะ แต่เอิ๊ตเรียนปีเดียวเองค่ะ จบได้ Diploma มาทำงานต่อ 2 – 3 ปี แล้ว

นอกจากตัวเพลงแล้ว ระยะหลังเวลาดูเอิ๊ตแสดงสด เรารู้สึกว่าพาร์ตดนตรีแข็งแรงขึ้น แสดงให้เห็นความเป็นนักดนตรีมากขึ้น
          เป็นเป้าหมายของเอิ๊ตเหมือนกันค่ะ ก่อนหน้านี้มีช่วงที่เอิ๊ตเจ็บแขน เจ็บมือ เล่นกีตาร์ไม่ได้อยู่ 2 เดือน แล้วเอิ๊ตไปเล่นงานแคท เอ็กซ์โปมา แบบไม่ได้เล่นกีตาร์ เอิ๊ตไม่เคยรู้สึกขาดขนาดนี้มาก่อนเลย ทั้งๆ ที่แต่ก่อนไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักกีตาร์แต่พอมีกีตาร์แล้วเรารู้สึกสบายใจเวลาเพอร์ฟอร์ม เราแต่งเพลงเริ่มต้นจากกีตาร์บ่อย แล้วเวลาอยู่ในวงเหมือนมันครบ เราไม่เคยคิดเลยว่า เราจำเป็นต้องมีมัน แต่พอขาดมันไปแล้ว 2 เดือน เราไปเล่นงานแคท ก็รู้สึกเขินมาก หน้าแดง เอิ๊ตไม่เคยหัวใจเต้นแรงขนาดนี้

          กลายเป็นคนที่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่ารักกีตาร์จังเลย เป็นสิ่งที่เวลาเราเริ่มต้นแต่ง แล้วเวลาเราไปเล่นก็สนิทกันน่ะ อยากเล่นให้ทุกคนได้ฟัง รู้สึกว่ามันคือแนวทางที่เรารู้สึกว่าอยากจะเดินหน้าต่อไป

เราจะได้ยินซิงเกิลใหม่ของเอิ๊ต ภัทรวี เมื่อไหร่

          ตอนนี้กำลังทำอีกเพลงหนึ่งอยู่ค่ะ วิธีการทำงานใหม่มากสำหรับเอิ๊ต คือ มีโปรดิวเซอร์ของเกาหลี เขาได้ยินเพลงเราที่ซูเปอร์มาร์เกตตอนมาไทย แล้วเขาอยากแต่งเพลงให้ ซึ่งเอิ๊ตไม่เคยทำงานแบบนี้เลย ไม่เคยร้องเพลงที่คนอื่นแต่งให้ ก็น่าจะเป็นกลิ่นอายใหม่ๆ บอกที่นี่เป็นที่แรกเลย

          แพลนของปีนี้คือทำซีดีออกมาอีกแผ่นหนึ่ง โดยที่ไม่ได้รวมอีพีที่แล้วเลย ซึ่งดำเนินมาได้ประมาณ 4 – 5 เพลงแล้ว ก็เป็นการทำที่ไม่มีกรอบ อะไรเลย ไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ออกมา ทำเก็บไปทีละเพลง ที่รู้สึกว่า real กับเรา เราชอบมัน หวังว่าจะทำอัลบั้มเสร็จทัน Cat Expo ปีนี้ เพราะว่าถ้าไม่ทันก็จะโกรธตัวเอง (O,O)

รู้ไปทำแมว

-อีกชื่อหนึ่งที่เอิ๊ตใช้เป็นอีเมลตอนมัธยมคือ Hippy Witch เพราะอ่าน Harry Potter และสนใจเรื่องแม่มด จนแต่งตัวใส่สร้อย รูปดาวแล้วมีวงกลม และเคยโดนเรียกไปยืนหน้าเสาธงหรือคุณครูเรียกผู้ปกครองไปพบ เพราะแต่งตัวเวอร์เกิน มีแหวนสิบอัน ทาลิปสติกสีดำ เจาะหูด้วย เพราะกำลังอินกับความเป็นพังก์
-
นักเรียนไทยคนหนึ่งที่เอิ๊ตไปเจอตอนเรียนแต่งเพลงที่ออสเตรเลียคือ นิค (ธาฤทธิ์ เจียรกุล) วง Temp. ที่เอิ้ต ซื้อกีตาร์ต่อด้วย
-เอิ๊ตมีกีตาร์ 8 ตัว (นับถึงตอนที่เราคุยกัน)
-
เอิ๊ต ทำงานเบื้องหลังให้ศิลปินใหม่ในสังกัดเดียวกันด้วย โปรดติดตาม


“ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเจออะไร แย่แค่ไหน พอเดินขึ้นเวทีไปเราต้องทำให้เต็มที่” อิ้งค์ วรันธร
Always Be INK
         
อิ้งค์ - วรันธร เปานิล ร้องเพลงตั้งแต่เด็ก จนจบเอกขับร้องคลาสสิก คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีผลงานทั้งบนเวทีและผ่านบทเพลง ทั้งในนามกลุ่มและในนามเดี่ยว รวมทั้งมีผลงานแสดงมาบ้าง
          ทุกวันนี้งานหลักของเธอ ยังเป็นการร้องเพลง
          อิ้งค์ออกอีพีอัลบั้ม ‘bliss’ ในสังกัด Boxx Music ปี 2560 มีเพลงฮิตอย่างเหงาเหงาเกี่ยวกันไหมจนต้นปี 2562 มีเพลงใหม่ดีใจด้วยนะ
         
ตลอดมา เราเห็นว่าอิ้งค์เป็นอีกหนึ่งนักร้องหญิงที่มีสไตล์การแต่งตัวดูเรียบร้อย บุคลิกค่อนไปทางสุขุมนุ่มหวาน
          แต่เมื่อขึ้นเวที ความมั่นใจพร้อมรอยยิ้มและการแสดงที่เป็นธรรมชาติ เปล่งประกายดังเสน่ห์ที่ทำให้เรายิ่งอยากรู้จักเธอมากขึ้น
          นี่คือครั้งแรกที่เราคุยกับอิ้งค์ยาวๆ แคท เรดิโอ ที่เราเคยสวนกับเธอในฐานะดีเจหรือศิลปินอยู่บ้าง

ดีใจด้วยนะ

          ‘ดีใจด้วยนะเป็นเพลงที่อิ้งค์ว่าเศร้าสุดของอิ้งค์ ถ้าเทียบกับที่ผ่านมา เป็นมุมมองความรักที่โตขึ้น อาจจะด้วยเราอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้อิ้งค์จบมา 3 ปีแล้ว ความคิดก็โตขึ้น
          ปกติเวลาอิ้งค์ทำเพลง ก็จะเอาเรื่องราวมาจากเพื่อน มาจากเฟสบุ๊ก ที่คนโพสต์หรือรอบๆ ตัว แต่ว่าเพลงนี้เป็นหนึ่งในมุมมองความรักที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเราเอง

          เป็นประสบการณ์จริง ในแง่ที่ว่า ถ้าเกิดเราเจอแฟนเก่าของเรา แล้วเราอยากจะพูดอะไรกับเขา
          อิ้งค์ไม่ค่อยโกรธ เกลียด กับแฟนเก่าหรือว่าคนรักเก่าเท่าไหร่ ก็เลยคิดว่า ถ้าเราเจอเขาแล้วเขามีความรู้สึกที่ดีต่อกัน มีคนรักใหม่ที่ดี หรือว่า ชีวิตดี การงานดี สิ่งที่เราอยากจะพูดกับเขาก็คือดีใจด้วยนะเพราะอิ้งค์รู้สึกว่า แฟนเก่าหรือคนรักเก่าเหมือนเป็นเพื่อนสนิทของเรา ในช่วงเวลานั้นๆ ของชีวิตจริงๆ เราเห็นเขาตั้งแต่เด็ก ก็รู้สึกดีใจด้วยที่ได้เจอชีวิตที่ดีแล้ว แต่ว่าในเพลงก็จะเพิ่มเติมความดราม่า หรือว่าเรื่องราวต่างๆ ซึ่งก็เป็นพี่แทน ลิปตา (ธารณ ลิปตพัลลภ) กับพี่ข้าว Fellow Fellow (ปณิธิ เลิศอุดมธนา ) ช่วยเขียน เพื่อให้เพลงเล่าไปถึงคำว่าดีใจด้วยนะได้ง่ายขึ้น

แผนงานของอิ้งค์ใน .. 2562

          ปีนี้คิดว่าจะปล่อยซิงเกิลเรื่อยๆ ค่ะ อย่างปีที่แล้ว (2561) อิ้งค์ปล่อยแค่ต้นปีกับท้ายปี เนื่องจากเราเพิ่งปิดอีพีอัลบั้มไปเมื่อปลายปีก่อน (2560) เราก็ทิ้งช่วงนิดหนึ่ง แล้วมาปล่อยความลับมีในโลกตอนปลายปี แต่ว่าตอนนี้เหมือนเริ่ม sessionใหม่ของอิ้งค์แล้ว เราก็จะปล่อยเพลงเรื่อยๆ แหละ อาจจะมีผลงานต่างๆ มาให้ดูเยอะขึ้น ในปีนี้ แล้วแพลนในอนาคตข้างหน้าคืออยากมีอัลบั้มเต็มค่ะ

เพลงของอิ้งค์

          รู้สึกว่าเพลงของอิ้งค์มีแนวทางที่ค่อนข้างชัดเจนขึ้นค่ะ เราอยากให้มันดีที่สุดจริงๆ ช่วยกันดูจนออกมาดีที่สุด มุมมองในการทำเพลงทำงาน เราค่อนข้างมีเรื่องราว มีความคาดหวังหรือว่าอะไรต่างๆ ในการทำเพลงเยอะขึ้นมากจากตอนแรก เหมือนตั้งเป้าหมายให้ตัวเองมากขึ้น มีขั้นตอนมากขึ้น ยังทำงานกับทีม Boxx Music ทีมพี่แทน ทีมเอ็มวี เราให้เกียรติทุกคนที่ทำงานเหมือนเดิม แต่เราแค่พยายามทำให้ดีที่สุด พอใจมากที่สุด ให้รู้สึกว่าไม่สามารถทำได้ดีไปมากกว่านี้แล้ว เราถึงค่อยปล่อยออกมาในแต่ละชิ้นงาน

อิ้งค์เป็นคนชอบวางแผน

          เป็นคนที่ต้องแพลนไว้ก่อนล่วงหน้า สมมติว่าจะไปเที่ยวที่ไหน อิ้งค์จะไม่สามารถแบ็กแพ็กแล้วไปหาดาบหน้าได้เลย (หัวเราะ) อิ้งค์ต้องหาไว้ทุกอย่าง ข้อมูล ซิมโทรศัพท์ ที่นอน เราจะแพลนทุกอย่าง
          หรือวันนี้เราจะมาทำงาน เราต้องทำอะไรบ้าง ตรงไหน อาจจะเป็นเพราะความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย แล้วก็ด้วยความที่เราไม่ค่อยกล้าเสี่ยงบางอย่างด้วย เป็นคนขี้กลัวด้วย ก็เลยพยายามทำทุกอย่างให้ อยู่ในแพลนที่เราวางไว้ค่ะ

          อิ้งค์รู้สึกว่าการวางแผนดีกว่า เช่น เวลาเราไปเล่น เรามี song list จะเล่นนอกลิสต์ก็ได้ แต่ว่าซองลิสต์ อิ้งค์คิดมาหมดแล้ว เพลงนี้เปิด แล้วค่อยๆ วางสเตปความสนุก เราวางดีเทลเยอะขึ้นค่ะ พอเป็นไปตามที่เราวางไว้ก็ดี อย่างน้อยตัวเราเองก็อุ่นใจ

ความรู้สึกและวิธีแก้ปัญหาหากไม่เป็นไปตามแผน

          ถ้าไม่เป็นไปตามแพลน ก็มักจะมีเรื่องที่ท้าทายเราเกิดขึ้นระหว่างทางเสมอ อย่างเวลาที่เราขึ้นไปบนเวที เป็นเรื่องปัจจุบันล้วนๆ ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เล่นผิด อิ้งค์พูดผิด คนดูเป็นลม หรืออะไร เราก็ต้องไปตามสถานการณ์ แล้วแก้ไข้ให้ดีที่สุด ก็สนุกดี ในแง่ที่จะได้เจออะไรใหม่กับโชว์ตลอด หรือบางทีอิ้งค์เล่นๆ อยู่แล้วคิดประโยคหนึ่งขึ้นมาได้แบบต้องพูดแล้ว อิ้งค์ก็พูดเลย พอพูดแล้วออกมาดี ก็โอเค แต่ถ้าพูดแล้วคนดูเงียบ เราก็เก็บไว้ว่าไม่เวิร์ก (หัวเราะ)

          ถ้าออกนอกแผนไปเลยจริงๆ อาจจะ ไฟดับ ด้วยความที่เครื่องดนตรีของอิงค์เป็นซินธ์ เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ต้องมีไฟฟ้า ถ้าไฟดับปุ๊บ data ดับ ทุกอย่างก็จะดับๆๆๆ แล้วไมค์ดับด้วย ทำอะไร ไม่ได้ ต้องพูดปากเปล่านี่แหละ แต่คนดูน่ารักมาก ช่วยร้องต่อ เป็นโมเมนต์ที่สนุกดี

 

Ink Warantorn is Happy … on stage.

          หลายๆ คนชอบคิดว่าอิ้งค์สดใสเหมือนอยู่บนเวทีตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ชีวิตจริงอิ้งค์ก็มีมุมอื่น แต่ว่าเวลาอยู่บนเวทีอิ้งค์แฮปปี้จริง บางทีอิ้งค์อาจจะทุกข์อยู่ข้างล่างเวที อาจจะมีเรื่องเครียด เรื่องกังวลอะไรต่างๆ แต่อิ้งค์พยายามที่จะวางไว้ตรงข้างล่าง ก้าวขึ้นบันไดไปแล้วรู้สึกว่าคนที่มาดูเราเขาไม่ได้รู้เรื่องทุกข์ของเรา เขาไม่ได้จำเป็นจะต้องมารับสิ่งที่เราทุกข์อยู่
          มีเรื่องเล่าจากครั้งที่เสียคุณปู่ตอนเช้า ตอนเย็น อิ้งค์ต้องไปร้องเพลง วันนั้นอิ้งค์พังมากๆ ยากมากสำหรับคนๆ หนึ่ง ที่จะขึ้นไปยิ้มแย้ม อยู่บนเวทีได้ ทั้งๆ ที่เราเครียดอยู่ เราเศร้าอยู่ แต่ว่าคุณแม่ก็พูดประโยคหนึ่งว่าคนดูที่เขามาดูเรา เขาไม่ได้คาดหวังจะมาดูเราเศร้านะ แล้วเขาไม่ได้มีส่วนที่จะต้องมารับผลกระทบจากเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นควรเต็มที่กับหน้าที่ของเราอย่างพี่พล แคลช (คชภัค ผลธนโชติ) พี่แทน (ธารณ ลิปตพัลลภ)ก็ไลน์มาให้กำลังใจว่าทุกคนที่เป็นศิลปินต้องผ่านเรื่องแบบนี้ ขึ้นเวทีไป เราคือศิลปินที่คนเขามาดู มารับความสุข เราต้องทำให้ได้ แล้วเหมือนวันนั้นฝึกเรา
ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเจออะไร แย่แค่ไหน พอเดินขึ้นเวทีไปเราต้องทำให้เต็มที่ แล้วหลังจากนั้นลงมาค่อยว่ากันต่อ

เวทีแรกของเด็กหญิงอิ้งค์

          ประมาณ 7 – 8 ขวบ ตอนที่อิ้งค์เด็กๆ คุณพ่อจะเปิดเพลงในรถ แล้วอิ้งค์ก็ร้องกับคุณพ่อทุกวัน จนเขาเริ่มมองว่า เอ๊ะ! หรือเราจะชอบ ร้องเพลง ก็เลยส่งไปเรียน แต่ก็เรียนหมดทั้งบ้านเลยค่ะ น้องสาว พี่สาว พี่ที่เป็นญาติกัน ตอนขึ้นเวทีครั้งแรก จำได้ว่าอิ้งค์ร้องผิดด้วยนะคะ

อิ้งค์ขึ้นเวทีกับพี่สาวที่เป็นญาติกัน ร้องเพลงนอกสายตาของ แคทลียา อิงลิช อิ้งค์ก็ร้องดูเป็นธรรมชาติ ดูเอ็นจอย แต่ว่าพี่สาวก็จะเขินๆ แล้วหลังจากวันนั้นพี่สาวก็ไม่ได้เรียนร้องเพลงต่อ เพราะว่าเขาชอบอย่างอื่นมากกว่า อิ้งค์เลยเรียนต่อไปคนเดียว ก็มีขึ้นเวทีเรื่อยๆ ประกวดร้องเพลงการ์ตูน ขึ้นเวทีร้องเป็นมู่หลานบ้าง เหมือนค่อยๆ ฝึกเรา แต่ว่าสิ่งที่แปลกมาก ก็คือ เราไม่เคยกลัวคนดูเลย

อิ้งค์ไม่ตื่นเวที

          ไม่เขินอายที่จะขึ้นไป จำไม่ได้ด้วยค่ะว่ารู้สึกอะไร เป็นโมเมนต์ที่เราชอบมากเลยที่ได้แต่งตัวสวยๆ ไปร้องเพลง มองลงไปเจอคุณพ่อคุณแม่ คุณครู ภูมิใจ ได้กลับมาดูวิดีโอ รู้สึกว่า เราดูแฮปปี้นะ ทุกวันนี้วิดีโอพวกนั้นก็ยังมีอยู่ คุณพ่อเก็บไว้

ความชอบร้องเพลง + ทำนองเสนาะ+ก่อนมะลิบาน

          รู้ตัวว่าชอบร้องเพลงน่าจะประมาณ . 2 เพราะว่าความสามารถที่เรามีเริ่มชัดเจนขึ้น เรารู้สึกเอ็นจอยกับการได้ร้องเพลงแล้วทุกคนชม ว่าดีมากขึ้น . 2 อิ้งค์ไปประกวดท่องทำนองเสนาะของโรงเรียน แล้วชนะ หลังจากวันนั้น ก็ต้องขึ้นไปอ่านทำนองเสนาะบนห้องครูใหญ่ เพื่อกระจายเสียงก่อนสวดมนต์ยาวทุกวันศุกร์ เป็นความรู้สึกที่ โอ้โห ทำไมฉันเก่งจัง (หัวเราะ) ทั้งโรงเรียนจะต้องฟังเรา เพราะว่าต้องสวดมนต์ต่อ

          เราตั้งใจร้องมากในแต่ละครั้ง ทำเป็นปีค่ะ แล้วคุณครูกับเพื่อนๆ เริ่มบอกว่าถ้ามีร้องเพลงก็เรียกอิ้งค์สิจนเพื่อนสนิทที่นั่งข้างๆ กันชื่อ แอนท์ คุณพ่อเขาคือพี่โอ๊บ(เพิ่มศักดิ์ พิสิษฐ์สังฆกร) วง Time หาเด็กมาร้องเพลงก่อนมะลิบานแล้วถามลูกสาวตัวเองว่ามีเพื่อนร้องเพลงได้ไหม แอนท์ก็เลยแนะนำอิ้งค์ไป กลายเป็นครั้งแรกที่เราได้อัดเสียง ก็คือเพลงก่อนมะลิบานรู้สึกว่าในห้องอัดดูจริงจังดี (หัวเราะ) หลังจากนั้นเราเป็นเด็กขี้โม้ขึ้นมาทันที ไปโรงเรียนก็จะถามเพื่อนว่าเธอฟังหรือยัง

อิ้งค์ไม่เคยเบื่อการร้องเพลง

          ไม่เคยมีช่วงที่เฟลถึงขั้นไม่อยากร้องเพลงเพราะว่าเบื่อการร้องเพลงนะคะ เราแฮปปี้อยู่ตลอดเวลา แต่อาจจะมีช่วงที่เรารู้สึกว่าร่างกายเราล้า แค่นอนไม่พอเสียงเราก็เปลี่ยนแล้ว หรือแค่พูดเยอะ หรือตะโกนบนเวทีเยอะ ลงมาเสียงก็แหบแล้ว ทำให้อิ้งค์ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น ทำให้เรามีวินัยกับการรักษาสุขภาพมากขึ้นด้วย ต้องรักตัวเองให้มากๆ เพราะว่านี่คือเครื่องดนตรีของเรา

แฟชั่นสไตล์อิ้งค์
          อิ้งค์ชอบใส่ง่ายๆ แบบไม่ค่อยเปิดเผย คนบอกว่าแต่งตัวเรียบร้อย จริงๆ ไม่ใช่คนเรียบร้อย อิ้งค์ชอบใส่เสื้อผ้าที่ไม่ได้โชว์อะไรมาก อาจจะเป็นเรื่องของความรู้สึกปลอดภัยส่วนตัวของเราด้วย อิ้งค์เคยใส่กระโปรงทรงสอบตอนเรียนมหาวิทยาลัย ช่วงปี 2 เขาฮิตกันมาก เพราะว่าทุกคนต้องเปลี่ยนกระโปรง ไม่ต้องใส่พลีทอย่างเดียวแล้ว อิ้งค์ก็ใส่ทรงสอบไปเลย เป็นครั้งแรกที่ใส่สั้น แล้วก้าวแรกที่ลงจากรถเท่านั้นแหละ กระโปรง...แควก เราไม่ได้ไปเรียนคาบเช้าเลย เพราะว่าต้องไปหาซื้อกระโปรงเปลี่ยนค่ะ ก็เลยทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยเข้ากับเราเลยเนอะ เพราะว่าเราเป็นคนนั่งไม่เรียบร้อย หรือใส่กระโปรงสั้นทำกิจกรรมคณะ เราก็ไม่ถนัด ยุงกัดด้วย เราก็เลยชอบใส่ขายาวมากกว่า

           อย่างเวลาขึ้นไปเล่นบนเวที อิ้งค์ก็เต้นตลอดเวลา ถ้า อิ้งค์ใส่สั้น ก็ไม่เซลฟ์ ไม่กล้ามูฟ จะมีบางเวที อิ้งค์ใส่สั้น เพราะว่าเวทีเตี้ย อิ้งค์ก็จะไม่ได้เต้นเยอะ เหมือนตอนใส่กางเกงขายาว มี ข้อจำกัด

          เวลาจัดรายการที่แคท เรดิโอ ก็ใส่เสื้อยืด กางเกงขาบานๆ มาทีไรพี่จ๋อง (พงศ์นรินทร์ อุลิศผู้บริหารแคท เรดิโอ) จะบอกว่านี่เธอใส่ชุดนอนมาเหรอแต่จริงๆ ไม่ใช่ชุดนอนนะพี่จ๋อง สวยจะตาย

ไลฟ์สไตล์ด้านอื่นของอิ้งค์

          ไลฟ์สไตล์ของอิ้งค์นอกจากร้องเพลงก็เหมือนคนทั่วไปมากๆ เลยนะ บางทีอิ้งค์ก็ชอบถ่ายรูปฟิล์ม ดูหนัง ไปหาคอนเสิร์ตดู เมื่อก่อนเป็นคนที่ชอบเสพอะไรก็ได้ที่เป็นดนตรีมากๆ ช่วงที่เรียนดนตรีอยู่หรือตอนจบมาใหม่ๆ รู้สึกว่า ทุกๆ อาทิตย์จะต้องมีมหรสพไปดู หาดนตรีสดดู แต่ว่าพอมาอยู่ในช่วงทำงาน ไม่สามารถไปได้ทุกคอนเสิร์ตที่เราอยากไปจริงๆ เพราะเราติดงานหรือรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เราจะต้องนอนบ้าง ก็แอบเสียดาย แต่ถ้าเราได้ไปเล่นที่มีพี่ๆ วงที่เราอยากดู เราก็จะอยู่ดู อย่าง Cat Expo เป็นงานเดียวที่เราได้ดูหลายๆ วง
          อีกอย่าง อิ้งค์ชอบอ่านหนังสือ เดี๋ยวนี้ชอบอ่านเกี่ยวกับเรื่องความรัก ปรัชญาความรัก เป็นคนชอบอ่านเรื่องสั้น เพราะว่าอ่านแล้วจบเลยภายในเวลาไม่นาน แล้วก็ไม่ค้างคา เรื่องสั้นจบดีมีเยอะนะ เคยอ่านพวกเรื่อง ไม่มีใครเป็นเจ้าของดวงอาทิตย์ เป็นเรื่องสั้นที่พูดถึงประสบการณ์ ของคนสองคน มีบทสนทนา เวลาเราอ่าน รู้สึกไปตามเขาดี แล้วก็มีมุมดาร์กๆ อยู่ในแต่ละเรื่องดี

ทำอาหารก็ชอบค่ะ เคยทำสปาเกตตีขยี้ใจ เกี๊ยวทอด ลูกชิ้นยำ ในงาน Cat Foodival (หัวเราะ) ปีก่อน ปีนี้ขายไอศกรีมกะทิกินติมด้วยนะแล้วก็ชอบทำเบเกอรี่ค่ะ พยายามลองทำอะไรหลายๆ อย่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับโอกาส ชอบทำให้คนอื่นกิน (ยิ้ม)

ไอดอลของอิ้งค์

          อิ้งค์ชอบพี่ป๊อด (ธนชัย อุชชินนักร้องนำโมเดิร์นด็อก) มากๆ อิ้งค์ฟังเพลงพี่ป๊อดมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ได้ไปดู คอนเสิร์ต moderndog 22 แล้ว อิ้งค์รู้สึกว่าทุกครั้งที่ได้ดูเขาเล่น เขาดูมีพลังที่ไม่รู้มาจากไหนน่ะ ไม่เข้าใจ แต่ว่าเขาทำได้ทุกอย่างบนเวทีจริงๆ เราไม่ สามารถคาดการณ์ได้ว่าเขาจะทำอะไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับศิลปิน
          พอเรามาอยู่ตรงนี้เรารู้ว่า การร้องเพลงเดิมๆ หลายๆ ครั้ง บางทีก็เกิดความไม่รู้จะทำอะไรในแต่ละเพลงเพื่อให้เกิดความแปลกใหม่มากขึ้น แต่ว่าการดูพี่ป๊อดอยู่บนเวที รู้สึกว่าเขาสามารถทำทุกเพลงที่เขาร้องมากี่ร้อยกี่พันครั้ง ให้เหมือนเพิ่งร้องเพลงนี้ครั้งแรก อิ้งค์ชอบมาก แล้วพอได้ไปเล่นคอนเสิร์ตด้วยกัน ไปซ้อมกับพี่ป๊อด ได้ไปนั่งพูดคุย อิ้งค์รู้สึกว่าเขาเป็นคนน่ารัก เคารพและเห็นคุณค่าในตัวศิลปินทุกคนจริงๆ อย่างอิ้งค์เรียนโอเปร่ามา เขาก็จะบอกว่าเพลงนี้ ทำไมอิ้งค์ ไม่ลองขึ้นเสียงสูงไปเลย อิ้งค์ทำได้อยู่แล้ว ต้องโชว์บ้างนะสิ่งที่ตัวเองมี ถ้ามีซีนที่เราโชว์ได้ ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะร้องเพลงแบบนี้ได้อิ้งค์ก็รู้สึกว่า เขาดูรู้ว่าเราเรียนอะไรมา เราเป็นศิลปินตัวเล็กๆ เขาดูใส่ใจทุกคนจริงๆ เขาน่ารักมาก

อาชีพของนางสาววรันธร

          เป็นศิลปินแล้วแหละ เต็มตัวมากๆ ค่ะ อิ้งค์รู้สึกว่าตัวเองยึดอาชีพนี้เป็นหลักมากๆ มาตั้งแต่เรียนจบเลย เพราะว่า เป็นสิ่งที่เราจับไว้เลย คุณพ่อคุณแม่ไม่ให้เงินแล้ว ตั้งแต่อิ้งค์สอบตัวสุดท้ายเสร็จ

          เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรามีตอนนี้ คือสิ่งที่จะสามารถหาเงินให้เลี้ยงดูตัวเราเองได้ เลยทำให้เราจริงจังมากขึ้น จนถึงทุกวันนี้ เราใช้สิ่งที่เราเรียนมาตลอดเวลา หรือว่า ประสบการณ์ต่างๆ 3 ปี ทำตรงนี้ ก็ยังทำให้ดีที่สุดตลอด เพราะว่าเหมือนเป็นสิ่งหลักที่เราทำในชีวิตแล้ว บางคนถามว่า มีงานอดิเรกอะไร หรือว่าช่วงเวลาว่างทำอะไร จริงๆ แล้วอิ้งค์อยากบอกมากเลยว่า เวลาว่างของอิ้งค์คือคิดงานน่ะ เหมือนอยู่กับมันแทบจะ 24 ชั่วโมง น้อยมากๆ ที่จะมีเวลาไปทำอย่างอื่นที่ตัวเองอยากทำ เพราะว่าเราทุ่มเทกับตรงนี้จริงๆ (O,O)

รู้ไปทำแมว
          -ลองฟังเสียงใสๆ และเรื่องราวที่อิ้งค์เตรียมตัวมาเล่าได้ที่ Cat Radio 6 โมง – 3 ทุ่ม วันอาทิตย์
          -ใครที่คิดถึงงานแสดงหรือตกหลุมรักอิ้งค์ จาก Snap แค่ได้คิดถึง อาจจะได้เห็นงานใหม่เร็วๆ นี้ (ขึ้นอยู่กับตารางงานนะ)

          -ระหว่างสัมภาษณ์ อิ้งค์ เอิ๊ต รุ่นพี่ในค่ายที่ร่วมถ่ายปก ก็ทักทายด้วยความสดใสเมื่อมาถึงน้องจ๋า พี่มาแล้วจ้า
          -
แฟนคลับอันดับหนึ่งที่ไปเชียร์และถ่ายวิดีโออิ้งค์ตั้งแต่เด็ก จนโตเป็นนักร้องหรือดีเจ ก็คอยฟังและคอมเมนต์ ให้กำลังใจตลอด คือ คุณพ่อ ที่แฟนๆ อาจเคยคุยด้วยทางคอมเมนต์ในไลฟ์เฟสบุ๊ก หรือเวลาพบกันในงานต่างๆ


“ทุกคนมีกลไกการวิเคราะห์อยู่แล้ว ก่อนที่เราจะเลือกอะไรสักอย่างหนึ่ง” อิมเมจ สุธิตา
Image & Image
         
อิมเมจ - สุธิตา ชนะชัยสุวรรณ
คือ นักร้องเสียงดีที่ผ่านมาหลายเวที ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับประเทศ มีผลงานเพลงภาษาอังกฤษ ภาษาไทย เพลงประกอบละคร ร่วมงานกับศิลปินมาหลากหลายรุ่น ปัจจุบันเป็นหนึ่งในศิลปินหญิงรุ่นใหม่สังกัดสมอลล์รูม ที่มีผู้ติดตามไม่น้อย เราคุยกับอิมเมจเป็นคนสุดท้าย และคนละวันกับสาวคนอื่นในบทสัมภาษณ์นี้ เพราะช่วงที่นัดกัน อิมเมจต้องลงสนามสอบที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเธอกำลังเรียนชั้นปี 4 คุยกับเราแล้ววันรุ่งขึ้นก็ต้องไปสอบวันสุดท้าย เราจึงเริ่มด้วยเรื่องสบายในหน้าร้อนเพื่อผ่อนคลาย ก่อนเข้าเรื่องที่เธอศึกษาและเชี่ยวชาญ อาทิ เทเลอร์ สวิฟต์ เศรษฐศาสตร์ การซื้อตั๋วคอนเสิร์ต การถ่ายภาพ ฯลฯ

 

Image’s summer

หน้าร้อน อิมเมจชอบทำอะไรคะ

          ส่วนใหญ่ไปทะเลกับที่บ้าน เพราะว่ามีวันหยุดที่ทุกคนหยุดพร้อมกัน แต่ว่าสักพักหนึ่งเราเริ่มรู้สึกกันว่าคนเยอะ เหมือนแย่งกันเที่ยวนิดหนึ่ง ก็เลยไม่ค่อยได้ไปแล้วทะเล เป็นฟีลนอนอยู่บ้านเปิดแอร์กันไป เพราะร้อนมาก หรือถ้าเราอยากประหยัด ก็ไปห้างกัน ไปเอาแอร์ห้าง (หัวเราะ)

แนะนำเมนูที่รู้สึกว่ากินแล้วคลายร้อนหน่อย

          อิมว่ากินพวกผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวค่ะ เช่น สตรอเบอร์รี่ หรือถ้าหวานหน่อยแต่ว่าสดชื่น อิมว่าข้าวเหนียวมะม่วง เพราะว่าเป็นฤดูของมะม่วงที่รสชาติกำลังพอดี

 

Image’s update

ปีกว่าในสังกัดสมอลล์รูม เราได้ยินซิงเกิลใจเย็นและ ‘Unlucky’ รวมทั้งเพลงคัฟเวอร์ และเห็นอิมเมจแสดงสดทั้งในงานแคทและงานอื่นๆ เป็นระยะ เพลงต่อไปของอิมเมจจะเป็นเช่นไร

          ตอนนี้อิมกับวงก็นัดกันแล้ว หลังอิมสอบเสร็จพรุ่งนี้ (หัวเราะ) จะอะเรนจ์เพลงกัน เขียนไว้ 2 เพลง เพลงไทยกับเพลงอังกฤษ น่าจะเลือก เพลงไทยก่อน ซึ่งท้าทายสำหรับอิม เพราะภาษาเราละเอียดอ่อนกว่าภาษาอังกฤษโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ส่วนโครงสร้าง ก็จะมีคำสั้น ยาว มีสระ มีวรรณยุกต์ ถ้าเกิดว่าเราใช้คำไม่พอดีกับโน้ต ก็จะเหน่อ ฟังดูขัดนิดหนึ่ง แต่ว่าเพลงล่าสุดที่อิมเขียน อิมว่าใช้ได้อยู่นะ อิมชอบอยู่ (ยิ้ม)

พอเราเขียนเอง ร้องเอง ก็จัดการหรือปรับรายละเอียดต่างๆ ได้ง่ายขึ้นหรือเปล่าคะ

          เป็นฟีลที่เราสื่อสารได้ง่ายกว่า เพราะเราเขียนเองจากความคิด ความรู้สึกของเราเอง เวลาเราจะไปสื่อสาร เราก็จะมีแนว ทางอยู่แล้วว่าเราอยากให้เพลงนี้ส่งสารแบบไหน มีความรู้สึกแบบไหนค่ะ

Image’s songs

อิมเมจเริ่มแต่งเพลงด้วยภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก่อนคะ

          ตอน . 3 แต่งภาษาอังกฤษเพลงแรก
เนื้อหาของเพลงแรกเกี่ยวกับอะไรคะ

          เนื้อหา คือ ไปแอบชอบคน ชื่อเพลง ‘If it’s love’ เราก็อธิบายไปว่า เรามีอาการแบบนี้นะ เห็นอะไรก็นึกถึงเขา แล้วเราก็ ไม่แน่ใจว่าใช่ความรักหรือเปล่า

แรงบันดาลใจที่ทำให้เริ่มแต่งเพลง คืออะไรคะ

          Taylor Swift ค่ะ อิมฟังเทเลอร์มาตั้งแต่ 2009 ตอนนั้นไม่ .6 ก็ .1 ฟังมาเรื่อยๆ ถลำลึกไปจนถึงรู้ชื่อ พ่อ - แม่เขา เกิดที่ไหน บ้านทำอะไร ชื่อเขามาจากไหน ทำไมต้อง 13 มีน้องชาย 1 คน แล้วอิมก็รู้ว่าเขาฝึกเล่นกีตาร์เอง เริ่มแต่งเพลงเองมาตั้งนานแล้ว รู้ว่าตอนแรกเขาไม่ชอบที่ผมเขาหยิก ตอนเด็กๆ เขาพยายามยืดผม ก็ไม่รู้ว่าจะไปรู้ลึกขนาดนั้นทำไม (หัวเราะ)

          พอชอบมากๆ อิมก็อยากเป็นแบบเขา อยากทำได้บ้าง เหมือนมีเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ลองแต่งดู

แล้วได้หัดเล่นกีตาร์เหมือนเทเลอร์ สวิฟต์ไหม

          ตอนเด็กๆ พอแม่ให้เรียนเปียโน อิมอยากเล่นกีตาร์ ก็ฝึก แต่ว่าไม่ค่อยมีวินัยน่ะ ตอนนี้ยังเล่นแบบงูๆ ปลาๆ คอร์ดยังบอดอยู่ เล่นให้ใครฟังก็อายเขาน่ะ (หัวเราะ) แต่เครื่องดนตรีก็ช่วยในการแต่งเพลง อาจจะเริ่มจากคอร์ดซิมเปิลก่อน แล้วก็เปลี่ยนคีย์ เปลี่ยนอะไรเอง

ถึงทุกวันนี้ เวลาแต่งเพลง อิมเมจเริ่มต้นอย่างไรคะ

          มีหมดเลย เริ่มตั้งแต่คิดถึงประโยคหนึ่งในหัวบ้าง หรือมาเป็นทำนองก่อน หรือว่ามาทั้งทำนอง ทั้งคำร้อง แต่เป็นท่อนเดียว หรือว่ากด คอร์ดก่อน ทั้งกีตาร์ทั้งเปียโน

 

Image’s study

อิมเมจเรียนเปียโนถึงขั้นไหนคะ

          สอบของ Trinity (การสอบดนตรีของหลักสูตร Trinity College London) เกรด 4 ค่ะ แล้วก็หยุดไป เพราะขึ้น . ปลาย เรียนสายวิทย์

ชอบฟังเพลง เรียนดนตรีมาตลอด ทำไมเลือกเรียนสายวิทย์คะ

          เรียนสายวิทย์เพราะตอนนั้นอิมยังไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไรในอนาคต แล้วสายวิทย์สามารถจะไปสอบสายศิลป์ก็ได้ แต่ถ้าเรียนสายศิลป์ไปแล้ว รู้สึกอยากเป็นวิศวะไม่ได้ อิมก็เลยเผื่อเลือก

สาเหตุที่เรียนต่อคณะเศรษฐศาสตร์ ในระดับมหาวิทยาลัยล่ะคะ

          ในวิชาสังคม ตอน . 5 อิมได้เรียนเศรษฐศาสตร์ ซึ่งมีทั้งพาร์ตที่เป็นสังคมแล้วก็พาร์ตที่เป็นคณิตศาสตร์มารวมกัน เราได้วิเคราะห์เรื่องซัพพลายดีมานด์ อิมว่าน่าสนใจดี พฤติกรรมของคนเป็นไปตามกราฟที่อธิบายได้ว่าพอสินค้านี้ขาดตลาดแล้วราคาสูง เนื่องจากมีความต้องการมากขึ้น

อิมเมจเป็นคนชอบวิเคราะห์หรือเปล่า

          ใช่ อิมเป็นคนชอบวิเคราะห์ ชอบคิดไปเรื่อยๆ เจอเหตุการณ์นี้แล้วก็คิดว่าทำไมถึงเกิดขึ้น มีต้นตอมาจากอะไร หาเหตุผลให้ทุกอย่าง

ตอนนี้เรียนปี 4 แล้ว มีวิชาไหนที่เราชอบที่สุดไหม

          เศรษฐศาสตร์จะแบ่งศาสตร์เป็นจุลภาคกับมหภาค จุลภาคจะโฟกัสที่ตัวบุคคล ดูว่าเขาทำไมทำแบบนี้ มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ตัดสินใจ แบบนี้ ส่วนมหภาค ก็จะเป็นฟีลว่าดูภาพรวม ดูเศรษฐกิจ ทำให้อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจได้รู้เรื่อง

          อิมชอบจุลภาคมากกว่า รู้สึกว่าใกล้ตัว พอเราอ่านแล้วมองเป็นตัวเอง เราไม่รู้ตัวหรอกว่าการตัดสินใจเลือก เกิดจากเหตุผลประกอบกับที่สมองเราประมวลตัวเองอัตโนมัติเลย ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายอย่าง ความชอบ รายได้ ฯลฯ ซึ่งก็อธิบายได้ดี แล้ว อิมว่าออกแนวจิตวิทยานิดหนึ่งด้วย สมมติโจทย์ คือ ปีนี้มีคอนเสิร์ตเยอะเลย น้องๆ อยากดูหลายงาน อิมเมจคิดว่าควรเลือกอย่างไร ตามหลักเศรษฐศาสตร์

          อิมคิดว่าทุกคนมีกลไกการวิเคราะห์อยู่แล้ว ก่อนที่เราจะเลือกอะไรสักอย่างหนึ่ง การเลือกจะไปดูคอนเสิร์ตไหน ขึ้นอยู่กับหลาย ปัจจัย เราชอบศิลปินคนนี้มากแค่ไหน เรามีเวลาเก็บเงินมากแค่ไหน เรามีเงินเก็บไว้มากแค่ไหน แล้วเราเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ ที่จะมีศิลปินอื่น ที่เราชอบมาจัดคอนเสิร์ตอีกมากแค่ไหน แล้วบัตรจะหมดเร็วแค่ไหน สถานที่ที่จัดเป็นไง เราก็ต้องวิเคราะห์แล้วว่า จัดในที่เล็กแต่ดังมาก บัตรต้องเต็มแน่นอน เราต้องเอาเงินเก็บมาถมตรงนี้ก่อน ถ้าเราช้า ไปซื้อบัตรต่อคนอื่น ก็อาจจะมีการอัปราคา เราต้องวางแผน จะไปดูกับเพื่อน จองกันไงดี เช่น ทุกคนจองพร้อมกันนะ ใครเข้าเว็บได้ก่อนกดเลย แล้วก็ไปจ่ายสตางค์ ต้องคิดเป็นระบบนิดหนึ่ง วางแผนซ้อนแผน (หัวเราะ)

ฟังแล้วเห็นภาพมาก เคยทำใช่ไหมคะ
          เคยค่ะ ส่วนมากเป็นดวงด้วยนะ เพราะว่าถ้าเรากดรีเฟรชไป แล้วจังหวะได้ เราเข้าเลยนะ แต่สมมติสัญญาณเน็ตตัดไป ก็จบ

 

Image’s stage
เวทีใหญ่ที่สุดที่อิมเมจอยากไปให้ถึง

          ใหญ่ที่สุดเหรอ แต่ก่อนก็เป็นเวทีแคทค่ะ (หัวเราะ) Cat Expo

พอได้ขึ้นแล้ว เป็นอย่างที่คิดไว้ไหม

          เป็นค่ะ ได้ไปเล่น ก็ดีใจ รู้สึกดีนะคะ คนมาดูอิมเยอะกว่าที่คาดไว้อีกนะ แล้วฟีลแคทจะดูอินดี้น่ะ เขาเห็นรายชื่อศิลปินแล้ว เขาเลือกแล้วว่าจะไปดูใคร แต่ก็มีคนที่ไปดูเวทีอื่น เดินผ่านเรา แล้วได้ฟัง อิมว่าเป็นการดีที่เราจะได้ connect กับคนดูต่างๆ

           แล้วเป็นเวทีที่รวมศิลปินเยอะไปหมด เราได้ดูศิลปินที่เราชื่นชอบ มีหลายเวทีให้เราเลือก ซึ่งจะมีความบีบคั้นบางอย่าง ถ้ามีวงที่เราชอบ 2 วงเล่นชนกัน เราก็วิเคราะห์แล้วว่า เดี๋ยวคนนี้ เขาอาจจะมีอีเวนต์ตามที่ต่างๆ อีก แต่คนนี้ เป็นวงอินดี้ที่รู้สึกว่าค่อนข้างเก็บตัว หาดูได้ยาก ต้องเลือก

 

Image’s Dream

ทุกวันนี้รู้สึกว่าได้ทำงานในฝันหรือยัง

          ก็เป็นงานในฝันเหมือนกันนะ แต่อิมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาอยู่จุดนี้ ได้ทำจริงจัง เซ็นสัญญากับค่ายเพลง แล้วก็ทำเพลงจริงๆ เพราะว่าอิมก็แค่ร้องเพลงไปเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่เราทำได้ดี ทำให้เรารู้สึกดี เพราะฉะนั้นทุกอย่างตอนนี้เรียกได้ว่าเกินความคาดหมายมาตลอด

อิมเมจเริ่มขึ้นเวทีร้องเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ

         อนุบาล เป็นการประกวดนางนพมาศ แล้วเขามีพาร์ตแสดงความสามารถพิเศษ อิมก็ร้องเพลง แต่อนุบาลน่ะ ไม่เพราะหรอกชนะได้ไงก็ไม่รู้

หลังจากนั้นได้ประกวดนางนพมาศอีกไหม

          ไม่แล้วค่ะ ก็ร้องเพลงอย่างเดียว เพราะเริ่มเข้าประถม ก็ร้องเพลงบนเวที เขามีแข่งหลายอย่าง แข่งทำโปรเจกต์วิทย์ แข่งกีฬา แข่งดนตรี แข่งร้องเพลง แม้กระทั่งรำ ก็กว้างขวางขึ้น ได้เรียนรู้ว่ามีความชอบหลายอย่าง แล้วเราถูกจริตกับการร้องเพลง เราก็ไปทางนี้ เพราะว่า ทุกคนมีความถนัดต่างกัน ถ้าให้อิมไปแข่งบาสฯ ก็จะไม่เวิร์ก โชคดีที่เราหาทางที่คิดว่าเวิร์กสำหรับเราเจออย่างเร็ว

คิดว่า อิมเมจ สุธิตา ร้องเพลงดีไหม

          อิมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองร้องเพลงดี ไม่ดี แต่ว่าก็มีคนที่เขาเข้ามาบอกว่าเขาชอบที่เราร้องนะ เขาว่าเราร้องเพลงดีนะ เขาถูกจริต เพราะฉะนั้น อิมคิดว่าเป็นเรื่องของ personal taste ว่าเราถูกจริตกับคนนี้ เขาชอบ แต่ก็มีคนที่เขาไม่ชอบเหมือนกัน เราก็รู้แค่ว่า โอเค อิมร้องไม่เพี้ยน

แล้วมีวิธีฝึกหรือพัฒนาตัวเองอย่างไร ทั้งในเรื่องของการร้องเพลง และการแต่งเพลง

          เคยมีคนบอกอิมตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่า ถ้าอยากร้องเพลงไหน ให้ฟังเยอะๆ การฟังช่วยเสมอ แต่อย่าฟังเยอะเกินไป ให้ฟังจนเราจับทำนอง จับเมโลดี้ จับจังหวะ แล้วก็ท่อนต่างๆ ได้ เพราะว่าถ้าเราฟังเยอะเกินไป จะกลายเป็นว่าเราจำอันนั้นแม่นเกินไป ก็จะกลายเป็นเป๊ะ ถ้าเราฟัง จนเราแค่จับทางได้ แล้วเรามาฝึกร้อง เหมือนเราได้ใส่อะไรที่เป็นตัวเองโดยที่เราไม่รู้ตัว ก็คือ การมั่วแบบไม่มั่วมาก (หัวเราะ)

ยกตัวอย่างหน่อยค่ะ ทุกวันนี้ฟังเพลงอะไรอยู่บ้างคะ

          ฟังมั่วซั่วไปหมดเลยค่ะ อิมชอบหลายแนว คืออิมโตมากับ The Carpenters อิมก็จะชอบแนวนั้น หรือว่า อิมชอบTaylor Swift แล้วก็ Damien Rice หรือว่า Harry Style จาก One Direction ฟังกว้างมากๆ บางทีเราไม่ได้ฟังลึกไปจนถึงทุกเพลงในอัลบั้มเขา 5 ถ้าเปิด ไปเจอเพลงที่ถูกจริต แต่อิมไม่รู้จักศิลปิน อิมก็ฟัง อาจจะมีฟังเพลงอื่นของเขาบ้าง ถ้าชอบอีกก็ฟังค่ะ

Image’s image
นอกจากฟังเพลง ร้องเพลงแล้ว ชอบทำอะไรอีก

          อิมชอบถ่ายรูป ถ่ายทุกแบบ กล้องถ้าให้เลือก อิมชอบกล้อง SLR หรือว่า DSLR กล้องที่เปลี่ยนเลนส์ได้ แล้วก็ปรับโฟกัส มีเลนส์หลายระยะให้เลือกตามการใช้งาน เพราะอิมรู้สึกว่าเราเลือกได้ ถ้าเป็น กล้องคอมแพ็กจะมีคาแร็กเตอร์ของกล้องแต่ละตัว ซึ่งชอบเหมือนกันนะ แต่ถ้าชอบมากจริงๆ อิมชอบการที่มองไปแล้วอิมเลือกโฟกัสสิ่งที่ใกล้ ตรงกลาง หรือไกลก็ได้

เรียนใกล้จบแล้ว วางแผนไว้อย่างไร
          ถ้าเรียนจบก็คงมาทำเพลงจริงจัง ตอนที่ยังทำได้ แล้วก็มีด้านที่อิมอยากเรียนรู้อยู่ ก็คือจิตวิทยา ด้วยความที่อิมเป็นคนชอบวิเคราะห์ ชอบหาเหตุผล ถ้าให้มีหลักการนิดหนึ่ง ก็น่าจะดีขึ้น (หัวเราะ)

ลองวิเคราะห์ตัวเองบ้าง อิมเมจคิดว่า image ของตัวเองเป็นไง

         อิมว่า อิมเป็นคนดื้อ เพราะว่าทุกคนบอกแบบนั้น (หัวเราะ) และอิมว่าอิมเป็นคนคาดเดาไม่ค่อยได้น่ะ อย่างวันนี้อยากทำแบบนี้ ก็ทำเลย อยากจะไปที่นี่ ก็ไป ไม่วางแผน

จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา คิดว่าตัวเองโชคดีไหม

         โอ้ โชคดีมากๆ มาตลอดเลยค่ะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในเส้นทางนี้นะ คือโชคหมดเลย ความสามารถก็ส่วนหนึ่ง แต่ว่าดวง จริงๆ เป็นดวง เป็นจังหวะ (O,O)


รู้ไปทำแมว
          : เรื่องภาพ อิมเมจชอบ ฟิล์ม Lomography ISO 400 ติดตามภาพถ่ายของอิมเมจได้ที่ ig: 500daysofimage
          : ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ดูที่ ig: imageswift13

          : อิมเมจชอบดูหนังด้วย นางเอกในดวงใจคือเอมม่า สโตน แต่ไม่ดูหนังผีแม้เคยร้องเพลงประกอบภาพยนตร์สยองขวัญหลายเรื่อง ล่าสุด คือ แสงกระสือ (เพลงเหลือวิญญาณก็จะรัก’)
          :
ลูกชิ้น หมูยอ สะตอ คือ อาหารที่อิมเมจไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ส่วนกุ้งเคยชอบมาก โดยเฉพาะกุ้งแช่น้ำปลา แต่พอโตแล้วจึงพบว่าแพ้
          : ส่วนฟุตบอล อิมเมจยังชอบอยู่ แต่มีเวลาดูน้อยลง พอถามถึงพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เธอยังเชียร์ทีมอาร์เซนอล แม้ฤดูกาลล่าสุดไม่ได้ลุ้นแชมป์ "ตั้งแต่เราเชียร์อาร์เซนอล เราก็ต้องรักษาใจตัวเองนิดหนึ่ง
เราต้องพยายามรับมือกับความผิดหวังที่อาจจะเกิด หรือไม่เกิดก็ได้ (หัวเราะ)”

 


 

เนื้อหาและภาพจากหนังสือเค้าแมว ฉบับ 15 ปกอิมเมจ เอิ๊ต ออม อิ้งค์ อ่านฉบับเต็มที่ http://www.thisiscat.com/magazine/detail/19583


DJ JOKE

15:00-18:00

Listen Live

Now Playing