Cat Radio โตโต แมวแมว ขอเพลงได้ที่ 02-530-9611

อ่าน “ชีวิตของบุ” ฉบับแมวค้นฅน

“ชีวิตของบุ” บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์
กับหลายมุมมองทั้งในและนอก Spotlight
เรียบเรียงจาก รายการแมวค้นฅน ออกอากาศ พฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561
สัมภาษณ์โดย ดีเจเปิ้ลหน่อย - วรัษฐา พงษ์ธนานิกร
ฟังเทปสัมภาษณ์ฉบับเต็มที่ https://www.youtube.com/watch?v=jZMYJm1B9-o


ทักทายใน Spotlight : เพลงของบุรินทร์
Spotlight – Burin Boonvisut

 


 

เปิ้ลหน่อย : เปิดด้วยซิงเกิลอันดับที่ 3 ในชาร์ตแคท 30 ของเรา นี่คือ ‘สปอตไลท์’ จาก บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ขอต้อนรับพี่บุรินทร์เข้าสู่รายการ แมวค้นคน ค่ะ
บุรินทร์ : สวัสดีครับ ขอบคุณมากที่ชวนมา
 
เปิ้ลหน่อย : เปิดรายการกันด้วยซิงเกิลใหม่ในรอบ 7 ปี หายไปไหนมาคะพี่
บุรินทร์ : ไม่ได้ไปไหนเลย จริง ๆ แล้ว มีหน้าที่การงานหลาย ๆ อย่าง มาทำธุรกิจใหม่เพิ่มอีก ทำรถ ทำร้านอาหาร คอมมูนิตี้มอลล์ ทำให้ชีวิตวุ่นมาก จริง ๆ ทำเพลงเสร็จมาเกือบห้าปีแล้ว เป็นรูปเป็นร่างส่งมิกซ์มาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่มีเวลากลับเข้ามาเป็นศิลปินตลอดเวลาได้ จนถึงปีนี้เริ่มลงตัว เลยคิดว่าน่าจะปล่อยเพลงมาให้ฟังกันได้แล้ว
 
เปิ้ลหน่อย : ไหนจะการงาน ไหนจะครอบครัว ไหนจะงานอดิเรก
บุรินทร์ : หลัก ๆ ก็เรื่องงานล่ะครับ เพราะว่าเป็นธุรกิจที่เราเริ่มทำใหม่หมด ก็ต้องให้เวลากับสิ่งที่เราทำให้อยู่ตัวได้ก่อน

เปิ้ลหน่อย : ทั้งหมดนี้เดี๋ยวเราจะเจาะลึกกันลงไปในทุกภาคส่วน ฮ่าๆ คุยกันยาว ๆ คุยกันเรื่องเพลงก่อน ทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับซิงเกิลและอัลบั้มใหม่
 
บุรินทร์ : จริง ๆ เริ่มปล่อยทีละเพลงให้ฟังกันก่อน เพลง ‘สปอตไลท์’ เป็นเพลงแรกที่สามารถบอกได้ถึงภาพรวมของอัลบั้มทั้งหมด ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน เพราะว่าวิธีทำงานเราเปลี่ยนไปทั้งหมดเลยในการทำอัลบั้มนี่ สมัยก่อน อาจจะได้ยินผมตั้งแต่ Groove Riders (2544-2553) จนมา Gran Turismo (อัลบั้มเดี่ยวของบุรินทร์ในปี 2553)นี่ จะมี เครื่องเป่าเยอะ ๆ มี เครื่องสายใหญ่ ๆ ทุก ๆ อย่างเต็มไปหมด
 
เปิ้ลหน่อย : เหมือนคนขี้เหงา ขึ้นเวทีต้องมีคนเยอะ ๆ
บุรินทร์ : ใช่ มีกัน 90 แทร็กในเพลง ๆ เดียว เราเคยมีกันถึงขนาดนั้นเลยทีเดียว แต่พอมาถึงขณะนี้ เราคิดว่าพอเราเริ่มโตขึ้น บางทีไม่ต้องเยอะ ก็กลมกล่อมได้เหมือนกัน ก็เลยไปชอบคำว่า Less Is More มันตรงกับใจเราจริง ๆ และเริ่มปรับให้วง Minimal ที่สุด Simplify ที่สุด ทำให้ออกมาง่ายที่สุด ให้ออกมากลมกล่อมและฟังได้นาน ๆ ก็เลยเป็นเหตุผลที่เริ่มมาทำอัลบั้มนี้ บวกกับการที่เรารู้สึกว่าเราทำดิสโกมาตลอดชีวิต คือเครื่องเป่านี่เป่ากันจนถึงอวกาศแล้ว ก็เลยคิดว่าอยากเปลี่ยนพระเอกตัวเดินเรื่องในดนตรีของเรา จากเครื่องเป่าเปลี่ยนเป็นซินธิไซเซอร์แทน ก็คือคีย์บอร์ดนี่แหละ ก็ไปตามหาซาวด์ที่ถูกต้องที่สุด ตามที่เราต้องการ สุดท้ายไปตามหาคนทำที่จะสามารถทำวิธีการอัดแบบเก่า ๆ ได้ เพราะว่าในชุดนี้ผมอัดด้วยระบบ Reel To Reel เป็นวิธีการอัดแบบเหมือนสมัย 80 จริง ๆ
 
เปิ้ลหน่อย : ทำในเมืองไทยไหมคะ
บุรินทร์ : อัดบางอย่างในเมืองไทย บางอย่างที่อเมริกา Re-Mastering ที่อเมริกา จริง ๆ เมืองไทยจะหาอุปกรณ์ที่จะทำแบบที่เราต้องการยากพอสมควร แต่ที่ยากกว่าคือหาบุคลากร คนที่จะมาทำนี่แหละ คนที่จะมาทำในชุดนี้ส่วนใหญ่เป็นคนยุค 60 70 กันทั้งนั้นเลย
 
เปิ้ลหน่อย : เกษียณกันแล้วทั้งนั้นเลย
บุรินทร์ : ก็ใช่ครับ ก็มีความสุขที่ได้เจอกับพี่ ๆ ที่เขามีความรู้ทางด้านการอัดแบบอะนาล็อก สุดท้ายก็ไปตามหาสิ่งที่อยากทำมานานสำหรับอัลบัมนี้ ตามหานักดนตรีที่อยากจะให้เล่นให้เราด้วย คือตั้งแต่เริ่มคิดเรื่องอัลบั้มนี้ ผมมีนักดนตรีในหัวผมหมดแล้ว เครื่องนี้ควรให้ใครเล่น กลองใครจะตี เบส กีตาร์ใครควรจะเล่น ซินธิไซเซอร์ควรจะเป็นใคร ใครมิกซ์ ใครมาสเตอร์ อยู่ในหัวหมด และก็ไปตามฝันนั่นแหละครับ ไปตามหา ตามฝันทำไงจะตามหาคนนั้นได้ ทำไงเขาจะมาเล่นให้เราได้ ทุก ๆ อย่างจนตกผลึก ทุก ๆ อย่างออกมาเป็นชิ้นงานออกมา
 
เปิ้ลหน่อย : คือเลือกจากผลงานของเขา
บุรินทร์ : ถูกต้องครับ เพราะว่าชุดดนี้ผมอยากให้กลับมาเป็นยุค 80 ที่เป็นยุคเริ่มต้นของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นดนตรีโซลนอก Spotlight: เพลงที่บุรินทร์ฟังและโตมาด้วยกัน
 
เปิ้ลหน่อย : เอาเข้าจริงพี่บุรินทร์อินยุคไหนมากที่สุดคะ
บุรินทร์ : เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามประสบการณ์ ตามอายุเรา คือตอนเด็ก ๆ ผู้ชายก็ชอบร็อกกันทุกคนแหละ คือผมเป็นวัยรุ่นยุค 90 จริง ๆ 80 ก็ฟัง แต่ก็รู้สึกว่า 80 เป็นที่รุ่นพี่เขาฟัง จริง ๆ แล้วผมว่าเท่ แต่เรายังไม่เข้าใจมากกว่า เติบโตมากับดนตรีร็อกในยุคนั้น ทั้งแฮร์แบนด์ อะไรต่ออะไร จนมาอัลเทอร์เนทีฟ เนอร์วาน่า จนโตมาอีกขั้นมาฟังอีเล็กทรอนิกส์ ยุคนั้นยังไม่มี EDM มีเทคโนในยุค 80 มีเรฟ แทรนซ์ เบรกบีท ก็ฟังหมด
 
เปิ้ลหน่อย : นี่สายปาร์ตี้หมดเลยนี่คะ
บุรินทร์ : เมื่อก่อนผมทองนะไปงานเรฟใส่รองเท้าผ้าใบ Sneaker เท่านั้น ก็เปลี่ยนไปตามอายุ ตอนเรียนมหาลัยเริ่มฟังโซลเยอะขึ้น โชคดีอย่างหนึ่งคือผมเรียนอยู่ที่อเมริกา เป็นที่ที่เราสามารถเปิดโลกกว้างของดนตรีได้เยอะจริง ๆ เพราะว่าศิลปินส่วนใหญ่ในโลกนี้ก็มาจากอเมริกา ก็เริ่มได้ฟังอะไรที่แปลกประหลาดออกไป แจ๊ส บลูแกรส คันทรี่ ทุก ๆ อย่างที่เราหาฟังได้
 
เปิ้ลหน่อย : ตอนนั้นพี่บุรินทร์ อยู่เมืองอะไรคะ
บุรินทร์ : ผมอยู่ บอสตัน แมสซาซูเซตต์ เรียนได้แปดปี (หัวเราะ)
 
เปิ้ลหน่อย : หมายถึงว่าแปดปีนี่คือระยะเวลาที่เรียน
บุรินทร์ : ก่อนหน้านั้นอยู่อังกฤษ ลอนดอนสามปี แล้วย้ายไปอยู่อเมริกา จนจบปริญญาโท ก็ใช้เวลาพอสมพอควร
 
เปิ้ลหน่อย : ค่ะ กว่าจะได้โซลกลับมาแล้วก็มาเป็นกรู๊ฟไรเดอร์ส
บุรินทร์ :ใช่ครับ ชุดแรกก็เลยเป็นโซล ผ่านมาสิบกกว่าปี ผมออกอัลบั้มแรก ปี 2001 เรียนจบปี 2000 ทำงานแป๊บนึงก็มาทำอัลบั้มนี่แหละ เร็วนะครับ แป๊บเดียว

เปิ้ลหน่อย :พี่บุรินทร์เติบโตมาในครอบครัวธุรกิจ ทำไมถึงมาสนใจร้องเพลงล่ะคะ
บุรินทร์ :ไม่เคยสนใจร้องเพลงครับ สนใจฟังเพลง มาตลอดชีวิต คือบ้านผมถึงทำธุรกิจกันแต่ก็ชอบฟังเพลง ขึ้นรถแม่ก็จะได้ฟังเพลงที่แม่ฟัง อย่างพวกStandard Jazz: Nat King Cole, Frank Sinatra , Dean Martin, Elvis Presleyลูกกรุงก็ฟัง แม่ฟัง ชรินทร์ นันทนาคร, สุเทพ วงศ์กำแหง  เป็นส่วนใหญ่ ผมก็ได้พื้นฐานจากตรงนั้นมา ทำให้ผมชอบเพลงยุค 50,60 พอขึ้นรถพ่อ พ่อฟังThe Beatles, Stevie Wonderพ่อฟังหลายอย่างเหมือนกัน เพราะพ่อเขาอยู่อเมริกา ยุควูดสต๊อก ประมาณปี 68 พ่อก็จะฟังเพลงร็อกบ้าง แต่พ่อเขาไม่ชอบฟังร็อกยุค 70 เขาบอกหนวกหู  เราก็ได้ฟังแต่โซลยุค 70 อย่างEarth, Wind & Fire เป็นต้น เพลงSeptember  อะไรพวกนี้ วงนี้เป็นคอนเสิร์ตแรกที่ผมได้ไปดูเลยนะ ตอนอายุประมาณหกขวบ

เปิ้ลหน่อย :เจ๋งมาก
บุรินทร์ :ผมเด็กมาก จำได้ว่า ไปยืนนี่หายใจไม่ออกเลย เพราะทุกคนตัวสูงหมด สิ่งที่ได้รับคือได้หายใจอากาศที่คนอื่นเค้าหายใจออกมาแล้ว (หัวเราะ) แทบไม่เห็นอะไรเลย จำหน้าตานักร้องไม่ได้เลย เพราะเราเด็กมาก จำได้แต่เพลง September, Boogie Wonderland ก็อย่างที่บอก ฟังเพลงไปเรื่อย ๆ เก็บเงินค่าขนมมาแทนที่จะไปซื้อของเล่น คือพ่อแม่ผมไม่ซื้อของเล่นให้ อยากได้อะไรต้องเก็บเงินซื้อเอง เป็นอย่างนั้นตั้งแต่เด็ก ถ้าอยากได้อะไรชิ้นใหญ่ ๆ ก็หุ้นกับพี่

เปิ้ลหน่อย :เข้าใจมาตลอดว่า ครอบครัวที่ทำธุรกิจ จะต้องมีของเล่นเยอะ
บุรินทร์ :ไม่มีอะไรเลยครับ ต้องเก็บตังค์เอาเอง ทุกวันนี้ยังเล่นของเล่นอยู่เลยครับ ยังเล่นไม่สะใจ ผมนี่เวลาซื้อของเล่น จะไม่แกะของเล่นออกจากกล่อง เพราะว่าเวลามันอยู่ในกล่อง บนดิสเพลย์ในร้านนี่สวยมากเลย แต่พอเราแกะออกมา มันจะหมดคุณค่าทันที กลายเป็นของเล่น แขนหัก ขาหัก ถ้าอยู่ในกล่องเป็นแพ็กเกจจะดูสวยมาก ผมไม่เคยแกะของเล่นออกจากกล่องเลย อย่างสตาร์วอร์ส เคยแกะแล้ว เอามาเผาเล่น สู้กันไปสู้กันมา โดนพลัง Force เอาน้ำมันรอนสันราด จุดไฟเลย

เปิ้ลหน่อย: นี่เล่นจริงขนาดนั้นเลย
บุรินทร์ :โอเค เหลือเงินจากซื้อของเล่นคือซื้อเพลง จำได้ เทปม้วนแรกเลย คือ Michael Jackson ชุด Off The Wall  เป็นอัลบั้มที่ชอบมาก 15 บาท เทปพีค็อก (Peacock ยี่ห้อคาสเซ็ตต์ที่อัดเพลงของศิลปินต่างๆ จำหน่าย) ยุคนั้น หลังจากนั้นก็ฟังมาเรื่อย เพลงฮิต ๆ เพลงที่จังหวะสนุก ๆ จนเริ่มโตมาเป็นยุคซีดี จำได้เลยซีดีออกใหม่ ๆ นี่ 450 บาท ในยุคนั้น ป๊อกกี้กล่องละสิบบาทเท่านั้นเอง

เปิ้ลหน่อย :แสดงว่าเป็นเด็กชอบของหวานเหมือนกันนะคะ
บุรินทร์ : ป๊อกกี้นี่จะกินได้ต้องหุ้นกับเพื่อน 3-4 คน ถึงจะได้กิน แล้วอะไรอีกนะลูกกลม ๆ ราคา 2 บาทเป็นช็อกโกแลตเหมือนกัน ชื่อ จิงเกิ้ล เปล็อตตี้ มีทั้งสีขาวสีชมพู นี่เราโฆษณาให้สินค้ามากเลยนะครับ

เปิ้ลหน่อย :เก็บเงินมาซื้อเพลงด้วย มาถึงตอนโต ปัจจุบันนี้ แผ่นเสียงล้นบ้าน เลยไหมคะ
บุรินทร์ : ใช่ครับ
 



อาหารของบุรินทร์ : Cat Foodival, Lambic, Shab Shab Shabu

เปิ้ลหน่อย :แคทฟู้ดดิวัลของเราคราวนี้ พี่บุรินทร์ไปด้วย
บุรินทร์ :ใช่ครับ มีบูทอาหาร บูบีคิวพลาซ่า โดย Lambic ผมเอาทีมร้านอาหารผมไปเลยครับ รับรองว่าอร่อยแน่นอน เพราะว่านอกเหนือจากบาร์บีคิวแล้ว เรายังมีเบอร์เกอร์ครับ สูตร Lambic ย่างด้วยเตาเทพ มันเทพมากย่างอะไรก็อร่อย เพราะใช้ความร้อนสูงกว่า ทำให้เวลาย่างใช้เวลาน้อยลง น้ำที่อยู่ในเนื้อนี่ยังคงอยู่ มันดีมาก ย่างผักยังอร่อยเลย

เปิ้ลหน่อย :อร่อยมากเลยหรือครับ
บุรินทร์ :อร่อยชัวร์ สูตรทุกอย่างเราใช้วัตถุดิบอย่างดี ขนมปังพรีเมี่ยม ผัก ทุกอย่างสด สะอาด แน่นอน นอกเหนือจากนั้นเราจะมีบบาร์บีคิวสูตรที่คิดกันเองขึ้นมา อร่อยมาก เราใช้เนื้ออย่างดี หมูอย่างดี กับน้ำซอสบาร์บีคิวที่เป็นสูตรของเราเอง ผมกินไปแล้วประมาณห้าร้อยกว่าไม้ กว่าจะทำออกมาขาย น้ำหนักขึ้นไปสามโล

เปิ้ลหน่อย :ถามเรื่องร้านอาหารสองร้านบ้าง
บุรินทร์ :ใช่ครับ Lambic ก็เป็นอาหารนานาชาติ พิซซ่าใช้เตาถ่าน ใช้ไม้พิเศษ คือไม้ลิ้นจี่ ฝรั่งจะใช้ ไม้แอปเปิ้ลมารมควันเบคอนให้มีกลิ่นหอม แต่ของผม ผมอยู่เมืองไทย ผมต้องการไม้ที่มันเป็นไม้ของไทยจริง ๆ ก็เลยเลือกฟืนที่เป็นไม้ลิ้นจี่ เพื่อเอามาอบพิซซ่า สำหรับคนที่เป็นพิซซ่าสายลึก ผมอยากจะชวนมาลองกินดู แป้งไม่บางเกินไป แต่ก็ไม่หนา

เปิ้ลหน่อย: ถามนิดหนึ่ง ทำไมต้องไม้ลิ้นจี่ พิเศษอย่างไรคะ
บุรินทร์ :มันคือลิ้นจี่ไงครับ เอามาทำอาหารแล้วมันสร้างกลิ่นหอม แต่ไม่ใช่กลิ่นลิ้นจี่นะ มันมีกลิ่นหอม เป็นคาแร็กเตอร์ของมัน มีความเป็นไทย เราอยู่เมืองไทยก็ต้องใช้ของไทย  นอกนั้นก็มี พาสต้า สเต๊ก มีโทมาฮอว์ก เนื้อซี่โครงส่วนที่ 7 กับ 8  ต่อกัน เป็นเนื้อส่วนที่ดีที่สุด มีไขมันแทรกที่กำลังดี และผมใช้เนื้อจากเมืองวาชิมะ เป็นเนื้อวากิว เอามาทำ ชิ้นละประมาณสามโลสี่ขึ้นไป ถ้าจะมากินต้องพาเพื่อนมาด้วยสี่คนขึ้นไป กำลังอร่อย ถ้ามาคนเดียว ก็จะแฟตฟรีไปเหมือนกัน (หัวเราะ)

เปิ้ลหน่อย : อีกร้านล่ะคะ
บุรินทร์ :อีกร้านหนึ่งเป็นชาบูครับ ชื่อ Shab Shab Shabu อยู่ที่โครงการ เดอะโกรฟ สายไหม ใกล้มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น คนแถวนั้นเริ่มรู้จัก ศุกร์ เสาร์อาทิตย์ โทรมาจองก่อนนะครับ คนจะแน่นหน่อย

เปิ้ลหน่อย :ต้องถามพี่บุรินทร์ ว่าองค์ประกอบที่สำคัญที่จะทำให้อาหารแต่ละจานให้อร่อย
บุรินทร์ :เชฟต้องมีลิ้นที่ดีครับ ผมว่าหลัก ๆ เลย คือส่วนตัวที่บ้านผม พ่อ แม่ ตัวผมเอง เราเป็นสายชอบกินอาหารอร่อย ไม่จำเป็นต้องราคาแพง อาหารอร่อยของเราคือ ต้องสะอาด อร่อย มีคุณภาพ ไม่ว่าจะอยู่ไกลขนาดไหน เราก็จะตามหา ไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหนเราก็จะเสาะหา ตั้งแต่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ใช้ปากต่อปากบอกต่อ ๆ กัน ปัจจุบันมันมีคำว่า Foodieจริง ๆ แล้วพ่อผมนี่แหละ Foodie ตัวจริงเลย ชอบกินอาหารมาก คือเมมเบอร์กีฬานี่ไม่เคยสมัครเลย แต่เมมเบอร์อาหารนี่พ่อเป็นหมด มีทุกร้าน เคยมีมีเฮอริเทจคลับ ซึ่งถ้าไม่เป็นสมาชิกก็ไม่สามารถเข้าไปกินได้ ต้องใส่สูทไปกิน เป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากทำร้านอาหาร นอกจากอาหารที่ดี ต้องมีบริการที่ดีมาก เขารู้หมดเลยว่าคุณชื่ออะไร ลูกคุณชื่ออะไร กินกาแฟ หรือกินชา ใส่น้ำตาลกี่ก้อน กินหมูหันต้องเลื่อยมันออกให้หมด  เป็นคลับที่มีอยู่ทั่วโลก ในเมืองไทยเคยมีอยู่เมื่อสักยี่สิบกว่าปี  ปัจจุบันไม่มีแล้ว ซึ่งนั่นเป็นแรงบันดาลใจในการที่เราอยากจะทำร้านอาหารสักร้านหนึ่งให้มันเป็นอย่างนั้นให้ได้

เปิ้ลหน่อย : งั้นพี่บุรินทร์ ก็ไม่ได้โฟกัสอาหารแค่เรื่องรสชาติ
บุรินทร์ : บรรยากาศด้วย อย่าง Lambic นี่จะเหมือนอยู่ในโรงนา ชาวไร่ แบบเมืองนอก ใช้อุปกรณ์เก่า ๆ แบบในโรงนา มีฟาง มีต้นไม้เยอะ ๆ  นอกเหนือจากบรรยากาศ ที่สำคัญผมว่าคือเรื่องการบริการ เราพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ให้คนมาแล้วมีความสุข ที่สำคัญที่สุด ราคาต้องไม่แพง ผมก็ทำให้ราคาโอเค พิซซ่า สามร้อยกว่าบาท ซึ่งที่อื่นขายห้าหกร้อย ไม่แพงเลย อบด้วยไม้ลิ้นจี่ สเต๊กก็ เจ็ดแปดร้อย ซึ่งย่างด้วยเตาเทพ (หัวเราะ)

เปิ้ลหน่อย : ได้ข่าวว่าบางเทศกาล บางโอกาสจะมีพี่บุรินทร์ขึ้นเวทีไปร้องเพลงด้วย
บุรินทร์ : ครับ ผมจะเผื่อไว้วันหนึ่งเลย ทุก ๆ เทศกาล อย่างคริสต์มาสอีฟ วาเลนไทน์ ให้เป็นโอกาสพิเศษ มีเมนูพิเศษห้าคอร์สที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ ขนาดให้กินแล้วกำลังดี แล้วก็มีโชว์พิเศษที่ผมเลือกมาให้​ อย่างครั้งก่อนผมเลือก เพลงรักที่โลกลืมในยุค 90

เปิ้ลหน่อย : เช่นเพลงอะไรบ้างคะ
บุรินทร์ : (ร้อง)...อย่ามาทำเป็นมีน้ำตา ก็เพื่อมาต่อรองหัวใจ....และก็ .....ก็นอนไม่ค่อยหลับ... คือเพลงพวกนี้ เวลาคนฟังแล้วจะ โอ้โห...ไม่ได้ฟังมานานมาก และก็มีความสุขทั้งผู้หญิงผู้ชายเวลาฟังคืออยากให้ทุกคนมีความสุขน่ะ อยากทำอะไรที่พิเศษกว่าไปนั่งกินอาหารร้านหนึ่ง เพลงที่ผมเล่นนี่นอกเหนือจากเพลงยุค 80, 90 ที่โลกลืมแล้ว ผมยังมีเพลงโซล ที่ปกติผมไม่ได้ร้อง เพราะว่าเวลาเล่นคอนเสิร์ตเราก็เล่นแต่เพลงตัวเอง แต่ทีนี้พอเป็นร้านเรา เหมือนอยู่ที่บ้านเหมือนปาร์ตี้ที่บ้าน จะร้อง จะทำอะไร ๆ ก็ได้

เปิ้ลหน่อย : ดูพี่แฮปปี้กับร้านที่ทำอยู่มาก ๆ
บุรินทร์ : จริง ๆ ผมแฮปปี้กับทุกอย่างที่ผมทำอยู่ตอนนี้หมดเลย เป็นโชคดีมาก ๆ ก็ร้านอาหารเริ่มอยู่ตัวแล้ว  คนรู้จักมากขึ้น ลูกค้าประจำก็มีแล้ว ทำรถเองก็อยู่ตัวแล้ว มาทำเพลงใหม่ ก็ขึ้นอันดับสามที่แคทแล้ว ชีวิตช่วงนี้มีความสุข ต้องขอบคุณทุก ๆ คน

เปิ้ลหน่อย : มีคติ หรือเคล็ดลับ ในการทำธุรกิจแบบพี่บุรินทร์ไหมคะ
บุรินทร์ : หลัก ๆ เลยนะครับ ต้องรักในสิ่งที่ทำ และเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองรัก คือถ้าผมไม่รักในสิ่งไหน ผมจะไม่เลือกทำอาชีพนั้น คืออย่างดนตรีนี่ โอ้โห มันคือปัจจัยหนึ่งในชีวิตเลย ขาดไม่ได้ ถ้าไม่มีเพลงในโลกนี้ชีวิตคงแย่มาก นั่งแบบเงียบ ๆ ไม่สนุกเลย คือเศร้าก็มีดนตรีคอยช่วยเป็นเพื่อน เหงาก็มีดนตรีด้วย เจ็บใจ โกรธอะไร ดนตรีช่วยหักล้างทุกอย่างให้หมด ฟังไปเรื่อย ๆ ก็สบายใจ ยิ่งมาเล่นดนตรี มีแฟนเพลง ยิ่งมีความสุขมาก ๆ  เพราะฉะนั้นถ้าให้ผมเลือกในสิ่งที่ผมไม่ชอบ ฝืนธรรมชาติ พอฝืนก็อยากจะพัฒนาก็ทำไม่ได้ อยากทำให้ดีขึ้นก็ขี้เกียจน่ะ แต่ถ้ารัก อยากให้สิ่งที่เรารักมันเติบโตมันพัฒนา มันไปสู่สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้ ถึงได้บอกว่า เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ไม่งั้นก็ ไม่มีความสุข และก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จก็ได้




เสียงของบุรินทร์: ผู้ประกาศสปอตโฆษณา 

เปิ้ลหน่อย : มีเสียงหลายเสียงมากที่เราได้ยินจากทางวิทยุ เป็นเสียงผู้ประกาศของพี่บุรินทร์
บุรินทร์ : ใช่ครับ
 
เปิ้ลหน่อย : มีอยู่พักหนึ่งที่มีแต่เสียงพี่บุรินทร์
บุรินทร์ : มีอยู่ประมาณเก้าปีครับ ก็นานพอสมควร เคยขายมาแล้วทุกอย่าง
 
เปิ้ลหน่อย : มีอะไรที่สนุก หรือว่าแปลกไหมคะ
บุรินทร์ : สนุก ต้องเป็นหนังโฆษณาที่มีความยาว 60 วินาทีขึ้นไป จะมีเรื่องราวเยอะ  ใหญ่จะ 30 วิ ถ้าเป็น 15 วิ จะพูดไฟแลบ เร็วทุกอย่าง
 
เปิ้ลหน่อย : ขายอะไรบ้างคะ
บุรินทร์ :  ขายมาหมดทุกอย่าง ทีวี บ้าน รถ เรือ ขนม แชมพู จริง ๆ เป็นอาชีพที่สนุกนะครับ ผมบอกจริง ๆ เคยมีอยู่หลาย ๆ ปี ที่ชีวิตวัน ๆ หนึ่งวนอยู่ในห้องอัดในทาวน์อินทาวน์ (หมู่บ้านที่มีบริษัททำโปรดักชั่นโฆษณา/ห้องบันทึกเสียงจำนวนมาก) นี่ล่ะครับ ตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนถึงหนึ่งทุ่ม วันหนึ่งมากที่สุด 11 ตัว เป็นอย่างนี้อยู่หลายปี จนสุดท้ายมาคิดว่าชีวิตเราจะอ่านสปอตไปเรื่อย ๆ คงไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ ก็เลยหยุดเลยครับ ที่ตลกที่สุดคือ น่าจะเป็น ยาน้ำแก้ไอ
 
เปิ้ลหน่อย : เวลาเป็นโฆษกเขาก็จะมีการบรีฟก่อนว่าอยากจะได้เสียงแบบไหน
บุรินทร์ : ใช่ ถ้าเจอเอเจนซี่ที่รู้ใจกัน เขาจะโอเค เป็นพี่บุเลย  เต็มที่ ถ้าเป็นใหม่ ๆ ไม่เคยทำงาน 
ไม่เคยรู้จักกัน ก็จะบอกตัวนี้ขออ่านแบบขรึม ๆ แต่มีอมยิ้มนิด ๆ ตัวนี้ขอแบบเรียบร้อยแต่แบบแอบ ๆ เป็นคนโรคจิต  อันนี้ขอแบบอร่อย อร่อยสุด ๆ มีขึ้นลง ทำนองนี้ ก็สนุกดีครับ เป็นอาชีพที่ช่วยเรื่องร้องเพลงมาก ๆ ช่วยในการทำความเข้าใจได้ชัดเจน ช่วยในการปลดปล่อยอารมณ์ของเราได้
 

ครอบครัวของบุรินทร์ 

เปิ้ลหน่อย : แม้จะยุ่งขนาดไหนก็ตาม สิ่งที่รักจะเยอะแยะมากมาย จะทำให้หมดเวลาแต่ก็มีสิ่งหนึ่งของพี่บุรินทร์คือเรื่องครอบครัวที่น่ารัก ลูกชายกำลังน่ารักเลย สองคน (บูรพาและ บฤณ) 
บุรินทร์ : ครับ กำลังเป็นวัยรุ่น
 
เปิ้ลหน่อย : เรื่องอะไรที่คุยกับลูกชายมากที่สุด
บุรินทร์ : ก็เป็นเรื่องเพลง เขาชอบเพลง เขาเรียนดนตรี เรียนเปียโน เรียนกลองกับพี่จ้า (ทรรศน์ฤกษ์ ลิ่มศิลา) วงอพาร์ตเมนต์คุณป้า 
 
เปิ้ลหน่อย : ได้คุยเรื่องเพลงกันเยอะมาก
บุรินทร์ : ผมอยู่บ้าน ขึ้นรถ ก็ฟังเพลงตลอด ได้คุยเรื่องเพลงกับลูกตลอด อย่างเวลามีเพลงวงออกใหม่ ผมก็ฟังเพลง แล้วชอบมาก ก็ไปบอกลูก แล้วเขาไปฟังก็มาบอกบ้าง แทร็กที่เจ็ด กับ สิบเอ็ด ลองฟังดูดิพ่อ

เปิ้ลหน่อย : สไตล์การฟังเพลงแต่ละคนเป็นอย่างไรคะ
บุรินทร์ : คนโตจะเป็นสายนวด เพลงกลาง ๆ ส่วนคนเล็กจะเป็นสายร็อกฟังเพลงหนักมาก
 
เปิ้ลหน่อย : อย่างนี้ เขาฟังเพลงที่พี่ฟัง พี่ต้องฟังเพลงที่เขาฟังด้วยไหม
บุรินทร์ : ผมก็ฟัง แต่ถ้าเป็นพวกสายว้ากอย่างเจ้าคนเล็กนี่ผมสู้ไม่ค่อยไหว แต่ที่เขามาแนะนำบางเพลง ก็มีแบบน่าสนใจ เป็นคันทรี่แบบแอฟริกัน ผมไปฟังแล้ว เฮ้ย  มันเศร้ามากน่ะ
 
เปิ้ลหน่อย : กี่ขวบแล้วคะ ตอนนี้
บุรินทร์ : คนเล็กผมเจ็ดขวบ คนโตสิบขวบ
 
เปิ้ลหน่อย : เหมือนถ่ายทอดกันมาจากคุณพ่อพี่บุรินทร์มาถึงรุ่นลูก
บุรินทร์ : ผมว่ามันเป็นภาคบังคับน่ะครับ เพราะว่าเขาขึ้นรถเราน่ะ เหมือนผมต้องขึ้นรถพ่อรถแม่ เขาฟังอะไรเราก็ต้องฟังอย่างนั้น แต่สุดท้าย ทำให้เรามีพื้นฐานที่กว้างขึ้น แข็งแรงขึ้น
 
เปิ้ลหน่อย : พี่บุรินทร์มีแนวคิดในการดูแลครอบครัวอย่างไรบ้างคะ
บุรินทร์ : พูดได้เลยนะ ผมกับครอบครัว ผมเป็นอย่างไรไม่เคยเสแสร้ง ผมกับแฟนไม่เคยเสแสร้งเลย คนเราจีบกันช่วงแรก โปรโมชั่นเยอะมาก กินหรู แต่งตัวดี พูดเพราะ กับแฟนนี่ผมพูดไม่เพราะมาตั้งแต่แรกเลย เป็นเพื่อนกันมากกว่า ดอกไม้สักดอกยังไม่เคยซื้อให้เลย ผมไม่เชื่อในวัตถุที่เรียกว่าดอกไม้ว่าให้แล้วจะทำให้ความรักดีขึ้นอย่างไร เพราะว่าให้แล้วสามวันมันก็แห้ง ก็โรย แต่ผมเข้าใจว่าผู้หญิงชอบได้รับดอกไม้ ผมก็พยายามเปลี่ยนใจเขามาตลอดชีวิต
 
เปิ้ลหน่อย : สวยงามไง
บุรินทร์ : ดอกไม้อยู่กับต้น สวยกว่า
 
เปิ้ลหน่อย : แล้วความโรแมนติกของพี่บุรินทร์ คือ อะไรคะ
บุรินทร์ : ผมไม่รู้ ก็เป็นอย่างนี้ แต่เคยให้เพลงแฟนหลายเพลงนะ ผมว่าให้เพลงนี่มันอยู่ทนนาน อีกยี่สิบปีเค้าแก่หงำเหงือกแล้ว พอฟังเพลงที่เราให้เขา เขาอาจจะยิ้มได้เหมือนกันนะ สมัยก่อนมันเคยเป็นคนดีนะ (หัวเราะ)
 
เปิ้ลหน่อย : แต่งเพลงมาก็หลายเพลง มีเพลงไหนที่แต่งให้กับความรักตัวเองบ้างไหมคะ
บุรินทร์ : เพลง ‘สัญญา’ ที่พี่บอยแต่งน่ะ ผมมอบให้เขา นี่ครั้งแรก ส่วนเพลง ‘หยุด’ นี่ ให้ตอนแต่งงาน
 
เปิ้ลหน่อย : เลยกลายเป็นเพลงชาติของงานแต่งงานไปเลย
บุรินทร์ : ใช่ครับ ผมให้แฟนผมคนแรก หลังจากนั้นก็ให้ใครต่อใครมาตลอดสิบกว่าปีแล้ว อีกเพลงก็ ‘เธอทั้งนั้น’ นี่ให้ลูก เพราะตอนที่นั่งเขียนกับพี่บอย ตอนนั้นลูกผมเพิ่งคลอดเลย
 
เปิ้ลหน่อย : โรแมนติกมากเลยนะคะเพลงนั้น
บุรินทร์ : เนื้อบอกว่า เธอมาแล้วเปลี่ยนชีวิตเรา 
 

นอก Spotlight:: ฝันของบุรินทร์ นักโบราณคดี 

เปิ้ลหน่อย : มีของที่ชอบหลายอย่าง ใช้ชีวิตมาเต็มที่สุด ๆ ทั้งเรื่องงานเรื่องความรัก พี่บุรินทร์ยังมีความฝันที่อยากจะทำอีกไหมคะ
บุรินทร์ : มีอีกหนึ่งอย่างที่อยากทำมาตั้งแต่เเด็กแล้ว แต่ผมว่ามันยากมาก คือ ผมอยากจะเป็นนักโบราณคดี ตั้งแต่เด็กเลย คือ ปัจจุบันนี้ ทีวีที่ผมดู สื่อที่ผมเสพ ส่วนใหญ่ก็เป็นช่องสารคดีซะส่วนใหญ่ ที่ผมชอบเป็นไอดอลก็คือคือ เซอร์เดวิด แอทเทนเบอเรอห์ (David Attenborough) พิธีกรที่เกี่ยวกับเรื่องสัตว์ ธรรมชาติ ต้นไม้ ชอบมาตั้งแต่เขาอายุยี่สิบกว่า ตอนนี้เขาจะเก้าสิบแล้ว เท่มาก ก่อนนอนผมเปิดทีวี ฟังเสียงเขาแล้วทำให้หลับสบาย เสียงเขาคือที่สุดของ voice over
 
เปิ้ลหน่อย : ไม่ใช่เสียงที่ทำให้เราหลับนะคะ
บุรินทร์ : มันต้องเป็นเสียงที่เราคุ้นเคย ทำให้เราสบายใจน่ะครับ ก็เลยฝันมาตั้งแต่เด็ก อยากไปทำแบบนักโบราณคดี แต่พอโตขึ้นมาแล้วถึงรู้ว่าการเป็นนักโบราณคดีนี่อย่างแรกเลยต้องใช้ทุนสูงมาก แล้วก็การขุดนี้ไม่ใช่ปีสองปีก็เจอ บางทียี่สิบสามสิบปีถึงจะเจอก็มี
 
เปิ้ลหน่อย : พี่อยากเจออะไร
บุรินทร์ : ผมรู้สึกว่า ตั้งแต่เด็กเลยนะ ประเทศไทย เรายังขุดไม่ค่อยเจออะไรเท่าไหร่เลย เราเจออะไรน้อยมากเลย อย่างเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง เราก็เห็นตั้งแต่เด็กน่ะ ปัจจุบันก็ยังเห็นเท่านั้นอยู่เลย ทำไมไม่มีใครไปขุดเพิ่ม อย่างเมืองที่เชียงใหม่ ตรงเมืองเก่าเขาขุดเจอแล้วเค้าก็ไม่ขุดต่อน่ะ เพราะมีเมืองใหม่สร้างขึ้นมา ซึ่งผมว่าน่าจะย้ายเมืองออกไปแล้วอนุรักษ์พื้นที่ไว้เป็นแหล่งศึกษา แหล่งท่องเที่ยวเชิงโบราณคดี ปัจจุบัน ผมว่ารายการสารคดีเมืองไทยเริ่มดีขึ้นมาก เริ่มมีเงินทุนมาสนับสนุนมากขึ้น คือจริง ๆ ก็อยากสนับสนุนคนไทยให้ดูสารคดี เพราะมันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่เรื่องบันเทิง
 
เปิ้ลหน่อย : คนก็ค่อย ๆ ออกมาแอ็กทีฟกันเรื่อย ๆ มันต้องเก็บนะ ของที่เรามีอยู่
บุรินทร์ : ผมว่ามีอีกเยอะ ของที่เรามีอยู่ อย่างที่บอกครับ ถ้าจะเป็นนักโบราณคดีต้องมีเงินเยอะ และต้องพาครอบครัวไปด้วยเลย ซึ่งไม่รู้ว่าแฟนกับลูกเราจะชอบหรือเปล่า ต้องขุดกันทั้งวันด้วยพู่กันเล็ก ๆ บนพื้นที่ประมาณห้าร้อยตารางกิโลเมตร ต้องใจรักจริง ๆ ทำให้ครอบครัวรักจริง ๆ ถ้าจะทำจริงๆ  ก็ต้องไปเรียนไปอะไรอีกเยอะเหมือนกัน
 
เปิ้ลหน่อย : ก็จะรอดูพี่บุรินทร์ เป็นนักโบราณคดีนะคะ
บุรินทร์ : ครับ
 
เปิ้ลหน่อย : เวลาหมดแล้ว เปิ้ลหน่อยว่าพี่บุรินทร์มีอะไรจะฝากอีกเยอะแยะเลยค่ะ มีเวลาอีกจึ๋งหนึ่งค่ะ พี่บุรินทร์จะฝากอะไรคะ
บุรินทร์ : ก็ขอบคุณทุกคนที่ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ขอบคุณเปิ้ลหน่อย ทีมงานแคท เรดิโอทุกคน ผมเพิ่งออกเพลงมาใหม่ ‘Spotlight’ สำหรับใครที่ต้องการเพลงที่เป็นทางเลือก ผมว่าผู้ฟังของแคทเข้าใจอยู่แล้ว เพลงที่มาเติมเต็มสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ทำ ก็มาลองฟังกันดูครับ” 

 
--- ติดตามและร่วมค้นชีวิตผ่านมุมมองของคนหลากหลายอาชีพ
ใน รายการแมวค้นฅน ที่ Cat Radio ทุกวันพฤหัสบดี 21.00-22.00 น. ---

MUSIC SWEEP

10:32-10:32

Listen Live

Now Playing